วันอังคารที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

การทำรูปบนกระป๋อง และ การดัดภาพ Photoshop CS 5

-ขั้นตอนที่ 1 นำรูปที่ต้องการทำมาเปิดไว้ในโปรแกรม Photoshop จากนั้นไปที่ คำสั่ง 3D ที่อยู่ด้านบนและ  ไปที่่คำว่า  New shape from layer  และไปที่ soda can ตามรูป คับ
-ขั้นตอนที่ 2  ก็จะได้รูปกระป๋องตามที่ต้องการมาและ ครับ
-ขั้นตอนที่ 3  การดัดภาพ ผมจะทำให้ภาพที่ยืนอยู่มานั้งบนกระป๋องนะครับ
   โดยไปที่คำสั่งว่า Edit จากนั้นไปที่ Puppet warp ตามรูปครับ

-ขั้นตอนที่ 4 ให้เราเลือกจุดที่ต้องการให้ภาพดัด แล้วกด Enter ครับ 
-ขั้นตอนที่ 5 นำรูปที่ดัดแล้วไป วางไว้จุดที่ต้องการครับ ก็จะได้อย่างเช่นตัวอย่างครับ



                     

วันพฤหัสบดีที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2554

เครื่องมือ clone stamp Tools และ pattern stamp Tools


  Clone Stamp Tool s
เป็นเครื่องมือที่ใช้คัดลอกพื้นที่โดยเราต้องกำหนดพื้นที่ตัวอย่างก่อน โดยกดคีย์ Alt  ตัวอย่างเช่น  






Pattern Stamp Tool s
 เป็นเครื่องมือสำหรับทำสำเนา Pattern โดยมีวิธีคร่าวๆ คือเราต้องสร้าง Pattern ก่อน หลังจากนั้นจึงทำสำเนาภาพได้ตามความต้องการดังตัวอย่างนี้คือเราต้องการรูปโลกให้เป็นแบบPatternมีวิธีการทำงานดังต่อไปนี้

สร้าง Pattern
1. ทำ Pattern โดยการใช้ Marquee Select เลือกบริเวณ Section ที่เราต้องการให้เป็นสำเนาของภาพ
2. เลือกคำสั่ง Edit > Define Pattern ที่เมนูบาร์ จะปรากฏหน้าต่าง Pattern name
3. พิมพ์ชื่อ Pattern
4. Click mouse ปุ่ม OK จะเป็นการ Save Pattern
ใช้ Pattern Stamp Tool
5. Click mouse ที่ไอคอน
 Toolbox ตัวชี้เมาส์จะเปลี่ยนเป็นรูป
6. เลือก Pattern เป็นรูปรถที่ต้องการ
7. Drag mouse บริเวณที่เราต้องการใช้ปรากฏสำเนาภาพของเรา จะปรากฏภาพเดิมหลายภาพ










วันพุธที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2554

วิธีการลง Microsoft Office 2010


วิธีการลง Microsoft Office 2010

ขั้นตอนแรก ใส่แผ่นโปรแกรม Microsoft Office 2010 แล้วคลิกที่ ไฟล์โปรแกรมหา icon คำว่า setup แล้วคลิกเข้า ไป จะขึ้นหน้า ให้เราอ่านข้อตกลงของโปรแกรม แล้วให้เราคลิกที่ ช่องด้านล่างเล็กๆๆ ที่ด้านซ้ายของภาพ จากนั้นกด Continue

ขั้นตอนที่่สอง จะขึ้นภาพมา ว่าจะให้เรา Install Now หรือ Customize  ถ้าเราเลือก Install Now หมายถึงว่าให้โปรแกรมนั้นติดตั้งอัตโนมัต แต่ถ้าเลือก Customize จะให้เราติดตั้งด้วยตัวเอง โดยเราจะเลือกได้ว่าต้องการลงไรบ้าง  จากนั้นคลิกที่ปุ่ม Continue

ขั้นตอนที่สาม โปรแกรมจะทำการลงให้เราจนขึ้นหน้าจอ สุดท้ายมาให้เราคลิกที่ปุ่ม Close ได้เลย ครับ

ก็เส็จวิธีการลง Microsoft Office 2010 ครับ

วันอังคารที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ขั้นตอนการลง WINDOWS 7

ขั้นตอนการลง WINDOWS 7

ขั้นตอนที่ 1 นำแผ่น windows เข้าเครื่อง แล้วก็กด restart จากนั้นรอให้หน้าจอขึ้นรูปให้เรา setup โดยกด F10 หรือ F9 ไปยังคำว่าBoot และสังเกตคำว่า Boot  Device และก็กดเข้าไป  ให้เปลียนคำตรง First Boot ให้เปลียนคำตรงนั้นให้เป็น CD-ROM และเปลี่ยนคำตรงที่มีชื่อว่า Second Boot Device ให้เปลี่ยนเป็น Hard Disk จากนั้นก็กด F 10 (หรือกด Esc)แล้วมันจะขึ้นว่าคุณต้องการ Save มันไว้หรือไม่ ให้คุณกด OK
 
ขั้นตอนที่ 2   หลังจากนั้นภาพจะขึ้นมาให้เราเลือกว่า ต้องการลงwindows ไร จะมีให้เลือก ทั้งwindows 7
และ windows xp  ให้เราคลิกที่ windows 7 หลัง จากนั้น  ระบบจะทำการโหลดไฟล์ setting ลงไปในเครื่อง
ให้รอจนจอภาพ ขึ้น ให้เรา เลือกภาษาในการใช้










ขั้นตอนที่ 3 ให้เลือก ภาษาโดย  ช่ิองแรกให้เป็น English    ช่องสองให้เป็น thai  ช่องสามให้เป็น us
จากนั้นให้กด next ไป จะขึ้นรูปมีคำว่า Install now  ให้เราคลิกเลย จากนั้นจะขึ้นถาพมาให้เราอ่านข้อตกลงของ windows ให้เรากดยอมรับที่ช่อง เล็กด้านล่างแล้วกด next ต่อไป 


ขั้นตอนที่4 จะขึ้นภาพให้เราเลือกว่า จะ upgrade  หรือ custom ให้คลิกที่custom ครับ


ถ้าเลือก Upgrade จะเป็นการลงวินโดวส์ทับของเก่า โปรแกรมและไฟล์จะไม่หาย
ถ้าเลือก Custom จะเป็นการติดตั้งแบบลงใหม่หมด พร้อมฟอร์แมตดิสค์



ขั้นตอนที่ 5  จะขึ้น ภาพนี้ ให้เราเลือกdick ที่การ ลง windows ให้เราเลือก dick 1 (หรือdick c ) แล้วไปที่ driver option      จากนั้นคลิกคำว่า format แล้วกด  dick 1 แล้วกด next 


ขั้นตอนที่ 6 รอจนภาพขึ้นให้เราใส่ ชื่อของคอมพิวเตอร์ เราส่วน หน้า ต่อไปที่ให้ใส่ Password ก็ไม่ต้องก็ได้ ส่วนหน้าต่อไปให้เราใส่ Product key ให้เรากด next ไปต่อได้เลย 

ขั้นตอนที่ 7 จะขึ้นหน้านี้มาซึ่่งขั้นตอนนี้ให้เราเลือก Use recommended Setting เพื่อเป็นการ Update Patch windows ต่างๆ













ขั้นตอนที่ 8 จะขึ้นภาพมาให้เราตั้งเวลา วัน  เดือน   ปี  หลังจากนั้นจะ ขึ้น ให้เราเลือกว่า ใช้เน็ตที่ไหน 
ขั้นตอนนี้อยู๋ที่ คุณว่า คุณเล่นที่ ไหน ซึ่งรูปแรกหมายถึง บ้าน สองหมายถึง ตามหน่วยงานราชการ สามหมายถึง ตามสาธารณะ


หลังจากนั้นกด ให้รอจน หน้าตา windows 7 ขึ้นมาจะเห็นแต่ ถัีงขยะ ให้เราคลิกขวาไปคำว่า personalize   ไปคำที่อยู่ด้านซ้ายคำว่า Change dektop icon


แล้วเลิอก icon ที่ต้องการลง   ก็เส็จในการลง windows 7 แล้ว ครับ  ขอบคุณที่มาเยี่ยมชม ครับ 

วันอาทิตย์ที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

หลักการออกแบบกราฟิก

ความสำคัญของการออกแบบ
การออกแบบ มีอิทธิพลต่อการประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันของมนุษย์เรา เกี่ยวข้องกับ ทุกระดับอายุ ทุกเพศ ทุกอาชีพ ทุกคนมีความรักสวย รักงาม ดังสุภาษิตไทยที่ว่า " ไก่งามเพราะขน คนงามเพราะแต่ง " เช่น การแต่งกายที่แต่ละคนต่างล้วนเลือกสรรและเลือกอย่างรอบคอบให้เข้ากับบุคลิคและสรีระของตน เริ่มตั้งแต่ ลวดลาย สีเสื้อผ้าจะต้องกลมกลืนเข้ากัน มีผลต่อความสูง ความอ้วน เช่น คนตัวเตี้ยควรจะใส่เสื้อลายเส้นตรงแนวดิ่งที่มีหลายเส้น ส่วนคนอ้วนควรเลือกลายเส้นตรงแนวดิ่งที่มีสามสี่เส้น เน้นสีสดอยู่ส่วนที่เป็นแถบกลางตัว สีเข้มมืดๆอยูแถบข้างลำตัวทั้งสองข้าง เป็นต้น รวมไปถึงเครื่องประดับต่างๆ เช่น แหวน นาฬิกา สร้อยคอ เข็มกลัดติดเสื้อ จนถึงแว่นตา ต้องมีการออกแบบเพื่อให้ถูกใจเหมาะสมผู้ใช้ทั้งสิ้น ถ้ามองไปถึงเก้าอี้นั่ง รูปทรงแบบใดเหมาะกับงานชนิดใด สถานที่ใด เช่น ใช้กับโต๊ะทำงานปกติ ใช้กับโต๊ะคอมพิวเตอร์ ติดตั้งบนรถเก๋ง รถโดยสาร รถไฟฟ้า หรือในโรงภาพยนตร์ การเลือกซื้อรถยนต์ เกินกว่า 70 % เลือกที่รูปทรงและสีของรถ แม้แต่เม็ดยาที่เรากินรักษาโรค ยังต้องออกแบบให้มีสีน่ากิน เคลือบรสหวาน รูปทรงกลม มน กลืนง่าย เป็นต้น

มนุษย์เราให้ความสำคัญในด้านการออกแบบมาก จะเห็นได้ว่าการออกแบบศิลปะนั้นเป็นสิ่งที่ควบคู่อยู่กับความสุนทรียะของมนุษย์ตลอดมา

» หลักการออกแบบกราฟิก

» องค์ประกอบในการออกแบบ

» การผลิตวัสดุกราฟิก

» การใช้วัสดุกราฟิกประกอบการสอน

» การจัดองค์ประกอบ

หลักการออกแบบกราฟิก THE PRINCIPLE OF GRAPHIC DESIGN

ก่อนที่จะทำงานออกแบบกราฟิกประเภทใดก็ตาม สิ่งแรกที่ต้องคำนึงถึงคือ การกำหนดจุดประสงค์ที่ชัดเจนของงาน เพราะช่องทาง รูปแบบและวิธีการ ของการนำเสนอมีมาก มีความรวดเร็ว ไร้ขอบเขต เช่นใน เว็ปไซต์ เครือข่ายอินเตอร์เน็ตต่างๆ ซึ่งต้องมีการปรับปรุง เปลี่ยนแปลงให้ทันเหตุการณ์ อาจจะทำให้เกิดความสับสน ยุ่งยากในการดำเนินงาน มีผลกระทบต่อการทำงาน เกิดความไม่เป็นระบบ มีการสูญเสียและสิ้นเปลืองโดยไม่จำเป็น ดังนั้นผู้ออกแบบจึงควรมีหลักการและข้อควรคำนึงก่อนการเริ่มงานเพื่อการแก้ปัญหาที่ถูกต้อง รัดกุมและวางแผนการดำเนินงานให้สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดีตลอดจนจบกระบวนการ ไม่มีปัญหาและอุปสรรค

หลักการดำเนินงานออกแบบกราฟิก

 หลักการดำเนินงานและการวางแผนขั้นต้นของการออกแบบกราฟฟิกมีดังนี้

1 วัตถุประสงค์เพื่ออะไร ผู้ออกแบบต้องรู้ว่า จะบอกกล่าว เรื่องราวข่าวสารอะไรแก่ผู้รับรู้บ้าง เช่น ทฤษฎีหรือหลักการ การเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ ฯลฯ ผู้ออกแบบต้องรู้วิธีการนำเสนอ (Presentation) ที่ดีและเหมาะสมกับเรื่องราวเหล่านั้นว่ามีเป้าหมายของการออกแบบเป็นไปเพื่อวัตถุประสงค์ใด เช่น เพื่อแนะนำ เผยแพร่ เพื่อให้ความรู้ หรือความบันเทิงเป็นต้น

2 กลุ่มเป้าหมายเป็นใคร แบ่งเป็นเพศ ชาย หญิง ่หรือบุคคลทั่วไป มีช่วงอายุเท่าใด นิสิตนักศึกษาหรือเฉพาะกลุ่มสนใจ ข่าวสารที่ให้มีระดับความยาก-ง่าย หรือมีความเป็นสากลหรือไม่ เฉพาะคนในประเทศหรือชาวต่างชาติ ซึ่งผู้ออกแบบจำเป็นจะต้องรู้และเข้าใจเพื่อวางแผน ดำเนินการกับข่าวสาร ออกแบบ และการนำเสนอให้ตรงจุดกับกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการได้ถูกต้อง

3 สิ่งที่ต้องการบอกคืออะไร หมายถึง วิธีการที่จะสื่อความหมายกับผู้รับรู้หรือกลุ่มเป้าหมาย และถ้าที่มีการกำหนดกลุ่มเป้าหมายไว้ล่วงหน้า ชัดเจนแล้วก็จะทำให้ผู้ออกแบบมีความสะดวกในการที่จะบอกหรือสื่อความหมายได้ง่ายขึ้น เช่น การเลือกใช้สัญลักษณ์ เครื่องหมาย และภาพประกอบต่าง ๆสื่อแทนคำศัพท์ ข้อความที่เป็นนามธรรม ได้ตรงตามระดับความสามารถในการรับรู้ของผู้รับ จะช่วยให้เกิดความเข้าใจในความหมายของข่าวสารนั้น ๆ จำได้ในเวลาอันรวดเร็วและจดจำไว้ตลอดไป

4 นำเสนอข่าวสารด้วยสื่อใด แบบใด ผู้ออกแบบต้องมีความรู้เกี่ยวกับประเภทของสื่อ ศักยภาพของสื่อชนิดต่างๆ คำนึงถึงการเลือกใช้สื่อในการนำเสนอข่าวสารเป็นรูปแบบใด จึงจะได้ผลดีมีความเหมาะสมกับข่าวสาร และผู้ออกแบบควรจะใช้วิธีการจัดการกับข่าวสารนั้น อย่างไร จึงจะสามารถโน้มน้าวจิตใจและสื่อความหมายต่อผู้รับได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด เช่น โปสเตอร์ หนังสือพิมพ์ โทรทัศน์ ภาพยนตร์ อินเตอร์เน็ต ฯลฯ

การออกแบบกราฟิก ส่วนใหญ่เป็นวิธีการที่เกี่ยวข้องกับการแสดงออกถึงการสื่อความหมายในลักษณะของตัวอักษรและภาพในรูปแบบต่าง ๆ ซึ่งเป็นการสื่อสารทางทัศนสัญลักษณ์ (Visual form) ดังนั้นในการออกแบบจึงเป็นสิ่งจำเป็นที่จะต้องมีการเรียนรู้เกี่ยว การมองเห็นและจิตวิทยาที่เกี่ยวข้อง

credit : http://goleng23.multiply.com/journal/item/6/6

วันพุธที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2554

ความหมายของ Database , Database System , DataBase Management System

 (Database)  หมายถึง กลุ่มของข้อมูลที่มีความสัมพันธ์กัน นำมาเก็บรวบรวมเข้าไว้ด้วยกันอย่างมีระบบและข้อมูลที่ประกอบกันเป็นฐานข้อมูลนั้น ต้องตรงตามวัตถุประสงค์การใช้งานขององค์กรด้วยเช่นกัน เช่น ในสำนักงานก็รวบรวมข้อมูล ตั้งแต่หมายเลขโทรศัพท์ของผู้ที่มาติดต่อจนถึงการเก็บเอกสารทุกอย่างของสำนักงาน ซึ่งข้อมูลส่วนนี้จะมีส่วนที่สัมพันธ์กันและเป็นที่ต้องการนำออกมาใช้ประโยชน์ต่อไปภายหลัง ข้อมูลนั้นอาจจะเกี่ยวกับบุคคล สิ่งของสถานที่ หรือเหตุการณ์ใด ๆ ก็ได้ที่เราสนใจศึกษา  หรืออาจได้มาจากการสังเกต การนับหรือการวัดก็เป็นได้ รวมทั้งข้อมูลที่เป็นตัวเลข  ข้อความ  และรูปภาพต่าง ๆ ก็สามารถนำมาจัดเก็บเป็นฐานข้อมูลได้ และที่สำคัญข้อมูลทุกอย่างต้องมีความสัมพันธ์กัน เพราะเราต้องการนำมาใช้ประโยชน์ต่อไปในอนาคต


(Database System)  หมายถึง การรวมตัวกันของฐานข้อมูลตั้งแต่ 2ฐานข้อมูลเป็นต้นไปที่มีความสัมพันธ์กัน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการลดความซ้ำซ้อนของข้อมูล และทำให้การบำรุงรักษาตัวโปรแกรมง่ายมากขึ้น โดยผ่านระบบการจัดการฐานข้อมูล หรือ  เรียกย่อ ๆ ว่า DBMS


(Database Management System) หมายถึงซอฟต์แวร์ที่ดูแลจัดการเกี่ยวกับฐานข้อมูล โดยอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ใช้ทั้งในด้านการสร้าง การปรับปรุงแก้ไข การเข้าถึงข้อมูล และการจัดการเกี่ยวกับระบบแฟ้มข้อมูลทางกายภาพ (physical file organization)
















วันพุธที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

การเข้าหัวต่อ RJ-45 กับสายคู่ตีเกลียว

การเข้าหัวต่อ RJ-45 กับสายคู่ตีเกลียว
         เครือข่ายอีเธอร์เน็ตตามมาตรฐาน 10Base-T นับเป็นเครือข่ายที่นิยมใช้อย่างแพร่หลาย ที่สุด มาตรฐาน 10Base-T มีอัตราส่งข้อมูล 10 เมกะบิตต่อวินาทีใช้สายคู่ตีเกลียว UTP ( Unshield Twisted Pair ) และมีโทโปโลยีเครือข่ายแบบดาว ( Star ) โดยใช้ฮับเป็นศูนย์กลางการเชื่อมต่อช่วยให้ติดตั้งได้สะดวก อีกทั้งสามารถเพิ่มและลดจุดเชื่อมได้ง่าย
         หัวต่อที่ใช้กับสายคู่ตีเกลียวเป็นชนิด RJ-45 วิธีการเข้าหัวสายคู่ตีเกลียวกับหัวต่อ RJ-45 ถึงแม้จะไม่มีความสลับซับซ้อนและทำได้โดยไม่ยาก แต่จำเป็นต้องอาศัยความเข้าใจและเทคนิคความชำนาญตลอดจนปฏิบัติตามข้อกำหนด EIA/TIA 568 ซึ่งถือเป็นมาตรฐานที่นิยมใช้ในการเข้าหัวต่อ
มาตรฐาน EIA/TIA 568
         EIA/TIA 568 เป็นมาตรฐานที่กำหนดขึ้นโดยความร่วมมือของ 3 องค์กร ได้แก่ สำนักงานมาตรฐานแห่งสหรัฐอเมริกา ( American National Standards Institute : ANSI ) , สมาคม อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ( Electronic Industries Association : EIA ) และสมาคม อุตสาหกรรมโทรคมนาคม ( Telecommunications Industry Association : TIA ) โดยใช้ชื่อ มาตรฐานว่า “ EIA/TIA 568 Commercial Building Telecommunication Wiring Standard “ และนำออกใช้เมื่อเดือนกรกฎาคม 1991 มาตรฐานนี้กำหนดรูปแบบการเดินสายโดยใช้โทโปโลยีแบบดาว (Star) เน้นการใช้สายสื่อสารทั้งแบบ UTP ชนิด 3, 4 และ 5 , สาย STP ( Shield Twisted Pair )แบบ 150 โอห์ม และใยแก้วนำแสงแบบ 65.5/125 ไมโครเมตร ในบทความนี้จะกล่าวถึงมาตรฐาน EIA/TIA 568 สำหรับสายคู่ตีเกลียวแบบ UTP
         รูปแบบการเดินสายสัญญาณการเดินสายสัญญาณโดยทั่วไป สามารถทำได้ 2 แบบ คือการลากสายโดยตรงระหว่างอุปกรณ์ที่ต้องการต่อ เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์กับฮับ การต่อแบบนี้จะใช้สายหนึ่งเส้นต่อการเชื่อมต่อหนึ่งจุด ซึ่งมีข้อดีคือ ง่ายต่อการเชื่อมต่อ การติดตั้งไม่ตายตัว สามารถเปลี่ยนแปลง เคลื่อนย้ายจุดที่ตั้งของอุปกรณ์ต่าง ๆ ได้ง่าย การต่อแบบนี้เหมาะสำหรับเครือข่ายขนาดเล็กที่มีจำนวนเครื่องคอมพิวเตอร์ไม่มากนัก หรือทั้งระบบอยู่รวมกันในห้องเดียว ดังตัวอย่างในรูปที่ 1.
รูปที่ 1. การเชื่อมต่อแบบดาวอย่างง่ายโดยการต่อตรงระหว่างฮับและเครื่องคอมพิวเตอร์

         ส่วนการเดินสายอีกแบบ จะมีการใช้หัวต่อตัวเมียซึ่งมีลักษณะคล้ายช่องเสียบโทรศัพท์ แต่ มีขนาดใหญ่กว่า เข้ามาช่วยเป็นจุดพักซึ่งติดไว้ที่ผนังหรือพื้นห้อง ส่วนการต่อกับเครื่อง คอมพิวเตอร์จะใช้สายที่มีหัวต่อ RJ-45 ทั้ง 2 ด้าน ซึ่งมักมีความยาวไม่มากนักเรียกว่าสายแพ็ทธ์ ต่อ ระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์และหัวต่อตัวเมียอีกที นอกจากนี้ อาจใช้แผงพักสาย ( Patch Panels ) สำหรับการต่อเข้าหาฮับ เพื่อให้ง่ายต่อการดูแลตรวจสอบ ดังรูปที่ 2. และ 3.สายที่ใช้มักฝังผนัง , ลอดบนฝ้า หรือไว้ใต้พื้น การเดินแบบนี้ มักทำเตรียมไว้ขณะกำลังสร้างตึกเลย จึงต้องมีการ ออกแบบและวางแผนให้ดีก่อนการติดตั้ง เพราะจุดเชื่อมต่อแต่ละจุดจะค่อนข้างตายตัว การ เปลี่ยนแปลงเคลื่อนย้ายจุดทำได้ลำบาก การเดินแบบนี้เสียค่าใช้จ่ายมากขึ้นเล็กน้อยเพราะต้องใช้ อุปกรณ์เพิ่มขึ้น แต่จะมีความเป็นระเบียบดีกว่าการเดินโดยตรง เพราะไม่ต้องมีสายระโยงระยาง มาก จึงเหมาะสำหรับการเดินสายทั่วทั้งตึก ซึ่งอาจมีหลาย ๆ ชั้น แต่ละชั้นมีห้องหลายห้อง
 รูปที่ 2.แผงพักสาย ( Patch Panels )
 รูปที่ 3. การเดินสายเครือข่ายผ่านแผงพักสาย

         ลักษณะของสายคู่ตีเกลียว สายคู่ตีเกลียวเป็นสื่อนำสัญญาณที่พบเห็นได้ทั่วไป โดยเฉพาะในระบบเครือข่าย คอมพิวเตอร์ สามารถส่งผ่านสัญญาณแบบอะนาลอกหรือดิจิตอลได้ การส่งสัญญาณดิจิตอล สามารถรองรับการส่งผ่านข้อมูลที่อัตราเร็วสูงได้ ซึ่งปัจจุบันอยู่ในช่วง 10 - 100 เมกะบิตต่อวินาที ภายในสายประกอบด้วยสายนำสัญญาณ 4 คู่ แต่ละคู่จะมีสายสี และสายสีสลับกับสีขาวเป็นริ้ว เพื่อให้การเลือกต่อสายที่ปลายทั้งสองถูกต้อง แต่ละคู่สีจะพันกันเป็นเกลียวตลอดความยาวของสาย เพื่อลดสัญญาณรบกวนในสาย โดยกำหนดสายและเรียกคู่สายดังรูปที่ 4. ในการเชื่อมต่อต้องมีการ คลายเกลียวบริเวณจุดที่ต้องเข้าหัว ซึ่งไม่ควรคลายเกลียวเกิน 0.5 นิ้ว สายแต่ละสีมีรหัสเรียกดังนี้
1. grn ( เขียว )
2. wh/grn ( ขาวสลับเขียว )
3. or ( ส้ม )
4. wh/or ( ขาวสลับส้ม )
5. blu ( ฟ้า )
6. wh/blu ( ขาวสลับฟ้า )
7. brn ( น้ำตาล )
8. wh/brn ( ขาวสลับน้ำตาล )

 รูปที่ 4. สัญลักษณ์การกำหนดสีและเรียกคู่สาย

         มาตรฐานการต่อมี 2 แบบ คือ แบบ T568A และ T568B ซึ่งมีวิธีการเรียงสีแตกต่างกัน ผู้ใช้ควรเลือกใช้แบบใดแบบหนึ่ง สำหรับ การเชื่อมต่อแบบ 10Base-T จะใช้สายคู่ส้มและเขียว ส่วนอีก 2 คู่คือน้ำตาลและฟ้า อาจใช้กับเครือข่ายอีกหนึ่งวง หรือสำหรับการเชื่อมต่อสายโทรศัพท์ โดยทั่วไปส่วนใหญ่อุปกรณ์ต่าง ๆ มักนิยมใช้แบบ T568B มากกว่า ที่สำคัญคือการเลือกใช้ควรใช้ แบบเดียว ไม่ควรผสมทั้งสองแบบ เพราะจะทำให้สับสนได้ บทความนี้จะยึดมาตรฐาน T568B เป็น หลัก
 อุปกรณ์ที่ใช้ ในการเข้าหัว RJ-45
1. หัวต่อ RJ-45 หัวต่อตัวผู้เป็นอุปกรณ์สำหรับใส่ที่ปลายสาย UTP มีลักษณะเป็นพลาสติกสี่เหลี่ยมคล้าย หัวต่อโทรศัพท์ มีช่องสำหรับเสียบสายที่ด้านหลัง ด้านล่างเรียบ ส่วนด้านบนมีตัวล๊อค ถ้าหันหน้า เข้าด้านหน้าของหัวต่อพิน 1 จะอยู่ทางด้านซ้ายมือของเรา ในขณะที่พิน 8 จะอยู่ทางขวามือ ดังรูปที่ 5. หัวต่อตัวผู้อาจมีการเรียกได้หลายแบบเช่น RJ-45 Connecter หรือ RJ-45 Jack Plug
 รูปที่ 5. หัวต่อ RJ-45 ตัวผู้ ( ซ้าย ) และตัวเมีย ( ขวา )

         สำหรับหัวต่อตัวเมียเป็นเบ้าเสียบสำหรับหัวต่อ RJ-45 ตัวผู้ เมื่อมองจากด้านที่จะนำหัวต่อ ตัวผู้เสียบ พิน 8 จะอยู่ทางซ้าย ส่วนพิน 1 จะอยู่ทางขวา หัวต่อตัวเมียจะมีลักษณะเป็นกล่องมีช่อง สำหรับเสียบหัวต่อ ด้านในกล่องจะมีขั้ว ซึ่งจะเป็นส่วนที่เชื่อมกับสายนำสัญญาณจริง ๆ ดังรูปที่ 6. และ 7. หัวต่อตัวเมียอาจเรียกว่า Female Outlet ก็ได้ ส่วนตัวขั้วอาจเรียกว่า Jack Face
 รูปที่ 6. หัวต่อตัวเมีย ส่วนที่ต่อกับผนัง
 รูปที่ 7. ตัวขั้วที่ต่อกับสาย UTP

 2. คีมเข้าหัวสาย ( Plug Crimper ) เป็นอุปกรณ์ที่ใช้สำหรับบีบหัว RJ-45 ตัวผู้ใส่ยังสาย มีลักษณะเป็นคีมหนีบ ประกอบด้วย ช่องสำหรับใส่หัว RJ-45 และ RJ-11 ( หัวต่อแจ็คโทรศัพท์ ) มีใบมีดสำหรับปอกและลอกเปลือก สาย ดังรูปที่ 8.
 รูปที่ 8. คีมเข้าหัวสาย

 3. ตัวกระแทกสาย ( Punch Down Tool ) เป็นอุปกรณ์สำหรับการเข้าสายกับแผงพักสาย เป็นเครื่องสำหรับตอกสายใส่ในรอยบาก ประกอบด้วยใบมีดแบบ T-110 สำหรับสาย UTP และ T-66 สำหรับหัวต่อ RJ-11 หรือ สายโทรศัพท์โดยแต่ละใบมีดจะมีปลายสองด้านถอดสลับใช้งานได้ ด้านหนึ่งสำหรับใช้ตอก ส่วน อีกด้านสำหรับตัดสาย ดังรูปที่ 9.
 รูปที่ 9. ตัวกระแทกสาย

การเข้าหัว RJ45 ตัวผู้ มีขั้นตอนดังนี้
1. ปอกเปลือกสาย UTP ด้านที่ต้องการต่อ ยาวประมาณ 0.5 - 1 นิ้ว ดังรูปที่ 10.
 รูปที่ 10. สาย UTP ที่ปอกเปลือกออก

 2. คลายเกลียวที่สายทั้ง 4 คู่
 3. จัดสายเรียงสีให้ได้ตามมาตรฐาน เช่นตามมาตรฐาน T568B จัดให้สายเรียงขนานกัน ไปและต้องระวังมิให้จัดสายผิดหรือกลับด้านกัน โดยถ้าหันปลายสายออกจากตัวเรา สายเส้นที่หนึ่ง จะอยู่ทางซ้ายมือสุด ซึ่งด้านนี้เมื่อต่อกับหัว RJ-45 ด้านที่มีก้านตัวล๊อกจะอยู่ด้านล่าง ส่วนด้านบน จะเป็นด้านที่เรียบ ลำดับการจัดพินตามมาตรฐาน EIA/TIA 568B แสดงได้ดังรูปที่ 11. หรือดังนี้
ความหมายของคำต่าง ๆ มีดังนี้
pin แทนช่องแต่ละช่องในหัวต่อ RJ-45 ที่จะนำสาย UTP เข้าไปต่อด้วย
pair แทนคู่ของสายแต่ละคู่ทั้งสี่คู่ในสาย UTP
name แทนหน้าที่ของสายแต่ละเส้นที่ใช้ส่งข้อมูลจริง ตามมาตรฐาน T568 ซึ่งจะมีทั้งรับและส่ง ข้อมูล โดยแต่ละทางของการส่งข้อมูลจะใช้แรงดันไฟเป็น 2 ขั้ว เพื่อให้มีการหักล้างกันของ สัญญาณในสายเพื่อการลดสนามแม่เหล็กที่อาจส่งผลกระทบต่อการส่งข้อมูล
 รูปที่ 11. การเรียงสีตามมาตรฐาน T568B

4. ใช้มือรีดสายทั้งแปดเส้นที่เรียงกันถูกต้องแล้ว ให้ขนานและเรียบ ไม่ให้มีการซ้อนเกย กัน
5. ตัดปลายสายทั้งแปดเส้น ให้ปลายเรียบเสมอกัน โดยตัดให้ห่างจากเปลือกนอกของสาย ไม่เกิน 0.5 นิ้ว
6. ใช้มือหนีบสายทั้งแปดเส้นให้แน่น และค่อย ๆ สอดเข้าไปในตัวหัวต่อ RJ-45 ตัวผู้ โดย ให้ปลายทั้งแปดเข้าไปเสมอกันตลอด ดังรูปที่ 12. ถ้ามีการเหลื่อมกันหรือปลายไม่เสมอกันควรนำ สายออกมาจัดใหม่ สอดปลายสายเข้าไปจนสุดหัวต่อ ซึ่งเมื่อมองดูที่หัวต่อใกล้ ๆ ที่ด้านปลาย จะต้องมองเห็นปลายสายทั้งแปดเส้น ชนกับสุดปลายด้านในของหัวต่อ RJ-45 ถ้าปลายสายทั้งแปด ไม่เสมอกัน หรือบางเส้นไม่ชนสุดปลายของหัวต่อ ควรทำใหม่
 รูปที่ 12. การตัดปลายสายก่อนจะใส่

 7. เมื่อเห็นว่าปลายสายถูกต้องดีแล้ว ใช้คีมหนีบที่หัวต่อ บีบให้แน่น เพื่อให้สายและหัวต่อ แนบสนิทกัน ดังรูปที่ 13. ถ้าบีบไม่แน่น อาจทำให้สายมีปัญหาได้เมื่อใช้งานจริง
 รูปที่ 13. การใช้คีมหนีบหัวต่อ RJ-45 ให้แน่น

 8. เมื่อเข้าหัวทั้งสองด้านแล้วควรตรวจสอบว่าใช้งานได้จริง หากต้องการเข้าหัวต่อตามมาตรฐาน T568A ให้จัดสายตามรหัสสีดังนี้
         นอกจากนี้ ในกรณีที่ต้องการเชื่อมต่อเครื่องคอมพิวเตอร์เพียงสองเครื่องเข้าด้วยกัน โดยไม่ ต้องการใช้ฮับ แต่เป็นการต่อระหว่างทั้งสองเครื่องโดยตรง เช่นการต่อเครื่องที่ใช้ ระบบปฏิบัติการ วินโดว์95 สองเครื่องเข้าด้วยกัน ก็สามารถทำได้ โดยใช้การไขว้สายหรือการสลับสายที่ปลาย หัวต่อของสายอีกด้านหนึ่ง เช่นตามมาตรฐาน T568B ด้านหนึ่งต่อตามแบบปกติ ส่วนอีกด้านให้ต่อ ดังนี้
         การต่อสาย UTP เข้ากับหัวต่อตัวเมีย หัวต่อตัวเมีย จะใช้ฝังไว้ตามกำแพงหรือพื้นห้องเป็นจุด ๆ สำหรับให้ต่อกับเครื่อง คอมพิวเตอร์ต่าง ๆ ในระบบเครือข่าย หัวต่อตัวเมียมีลักษณะเป็นเบ้าเสียบ ภายในจะมีตัวขั้วซึ่งเป็น ส่วนที่ต่อกับสาย UTP ส่วนที่เชื่อมโยงกับแผงพักสาย ซึ่งโดยทั่วไปจะอยู่ในห้องศูนย์กลางหรือ ห้องควบคุมระบบเครือข่ายนั้น ๆ หรืออาจจะต่อกับฮับโดยตรงเลยก็ได้ โดยอีกด้านจะต่อเป็นหัว RJ-45 ตัวผู้ใช้เสียบกับฮับ ตัวขั้ว ( Jack Face ) จะต้องมีการระบุได้ด้วยว่า ใช้กับมาตรฐานใด T568A หรือ T568B ใช้กับสาย คู่ตีเกลียวประเภท ( CATEGORY )ใด โดยทั่วไปตามท้องตลาดมักจะเป็น CAT3 หรือ CAT5 การใช้งานควรจะใช้ตามที่ระบุไว้ ตัวขั้วจะมีปลายสองด้าน ด้านหนึ่งจะมีช่องสำหรับเสียบหัวต่อ RJ-45 ตัวผู้ ด้านนี้จะเป็นด้านที่หันออกจากผนังหรือพื้น อีกด้านจะเป็นด้านที่สำหรับนำสาย UTP เข้ามาใส่ ตัวขั้วจะมีช่องเป็นรอยบากแคบ ๆ สำหรับใส่สายแปดช่อง แบ่งเป็นสองด้านมี ช่องว่างตรงกลางระหว่างทั้งสองด้าน ด้านละสี่ช่อง ถ้าให้ด้านที่ใช้ต่อกับ RJ-45 ตัวผู้เป็นด้านบน ตามมาตรฐาน T568B ช่องด้านซ้ายจะสำหรับสายคู่เขียวและน้ำตาล ด้านขวาคู่ฟ้าและส้ม ซึ่งจะมีสี กำกับไว้ที่ระหว่างช่องของแต่ละคู่ โดยในแต่ละคู่ ด้านบนให้ใส่สายสีริ้วด้านล่างจึงเป็นสายสีนั้น ๆ เช่นฝั่งด้ายซ้ายสำหรับคู่สีเขียวและน้ำตาล จะใส่สายดังนี้คือ ขาวเขียว-เขียว-ขาวน้ำตาล-น้ำตาล ส่วนด้านขวาจะเป็น ขาวฟ้า-ฟ้า-ขาวส้ม-ส้ม แต่ทั้งนี้ผู้ผลิตตัวขั้วอาจจัดรูปแบบสีแตกต่างจากนี้ได้ ซึ่งผู้ผลิตจะมีใบคู่มือกำกับมาให้ ก่อนการใช้งานจริงจึงควรตรวจสอบให้แน่ใจก่อน ส่วนแผงพัก สายจะมีลักษณะคล้ายกับตัวขั้วที่เรียงติดกันหลาย ๆ ตัวเป็นแนวเดียวกัน ดังรูปที่ 14. รูปแบบการ ใส่สายในแผงพักสายควรดูตามคู่มือกำกับของแผงพักสายนั้น ๆ
 รูปที่ 14. แผงพักสายที่ยังไม่ได้ต่อสาย

 การใส่สายให้กับตัวขั้ว มีขั้นตอนดังนี้

1. ปอกเปลือกหุ้มสาย UTP ออกให้ยาวประมาณ 1-1.5 นิ้ว
2. นำสาย UTP สอดไปช่องตรงกลางของตัวขั้ว โดยแยกสายทั้งสี่คู่ออกเป็นสองด้านตาม คู่สีให้มีลักษณะคล้ายตัว T ดังรูปที่ 15.
 รูปที่ 15. การแยกสาย UTP ใส่ลงในตัวขั้ว

 3. จัดสายแต่ละสีสอดเข้าไปตามช่องรอยบากสำหรับแต่ละสี สอดโดยการอ้อมจากด้าน นอกของตัวขั้ว เข้าสู่ช่องหนีบ ปลายสายจะชี้เข้าหาด้านตรงกลางของตัวขั้ว ดังรูปที่ 16.
 รูปที่ 16. การสอดสายไฟเข่าสู่รอยบากของตัวขั้ว

 4. ใช้ตัวกระแทกสาย ตอกหรือกดสายลงไประหว่างช่องรอยบากให้แน่น ถ้าไม่มีไม่มีตัว กระแทกสาย อาจใช้ด้านสันของคัตเตอร์กดแทนก็ได้ ทำจนครบทั้งแปดเส้น ดังรูปที่ 17.
 รูปที่ 17. การใช้ตัวกระแทกสาย กดสายลงไประหว่างช่องรอยบาก

         การตรวจสอบข้อบกพร่องของสาย และหัวต่อ ในปัจจุบัน มีการผลิตอุปกรณ์สำหรับตรวจการทำงานและหาข้อบกพร่องของสาย ( Tester ) ออกมาจำหน่ายหลายผลิตภัณฑ์ หลายชนิด หลายยี่ห้อ ดังรูปที่ 18. ซึ่งโดยทั่วไปจะมี ลักษณะเป็นอุปกรณ์สำหรับใส่ที่ปลายสายทั้งสองด้าน จะมีการส่งสัญญาณ และแสดงผลการทำงาน ออกมา ซึ่งการใช้อุปกรณ์ดังกล่าว จะทำให้สะดวกและประหยัดเวลา บางผลิตภัณฑ์สามารถบอกถึง ความยาวของสายได้ด้วย ดังตัวอย่างที่ผู้เขียนใช้ของ Hewlett Packard รุ่น HP340 SCANNER ซึ่ง มี ฟังก์ชันในการตรวจสอบทำงานได้หลายอย่าง ไม่เฉพาะแต่การตรวจสอบสาย UTP และหัวต่อ RJ-45 เท่านั้น
 รูปที่ 18.อุปกรณ์ตรวจสอบแบบต่าง ๆ

         การตรวจสอบเมื่อนำปลายหัวต่อสายทั้ง 2 ด้านต่อเข้ากับอุปกรณ์ตรวจ เครื่องจะรายงาน ผลออกมาเป็นตัวเลข 1 ถึง 8 ซึ่งตัวเลขแต่ละตัวจะแทนสายแต่ละสาย การรายงานจะรายงานเป็น ตัวเลขสองบรรทัดที่ต้องตรงกันทั้งสองบรรทัดและแสดงออกมาครบทั้ง 1 ถึง 8 จึงจะแสดงว่าสาย และหัวต่อไม่มีข้อบกพร่อง เช่น
12345678
12345678
 แต่ถ้าตัวเลขบางตัวขาดหายไป หรือ มีการสลับตัวเลขกัน เช่น
12345678
12_46578
         แสดงว่ามีข้อบกพร่องเกิดขึ้น ถ้าเป็นกรณีตัวเลขหายให้ลองใช้คีมหนีบ บีบที่หัว RJ-45 อีกครั้งให้ แน่น ๆ ถ้าแน่ใจว่าหัวใช้ได้ หรือบีบแน่นดีแล้ว แสดงว่าอาจเกิดจากเส้นลวดในสาย ซึ่งกรณีนี้มักไม่ ค่อยพบมากนักเพราะข้อบกพร่องส่วนใหญ่มักเกิดจากการบีบหัว RJ-45 ไม่แน่นมากกว่า ส่วนกรณี ที่ตัวเลขสลับกันแสดงว่าใส่สายผิดที่เส้นนั้น ให้ตรวจสอบดูสายด้านที่ต่อผิด จากนั้นตัดหัวต่อ RJ- 45 ด้านนั้นทิ้งและจัดการเข้าหัวใหม
ในกรณีที่ไม่มีอุปกรณ์ตรวจสอบ อาจใช้เศษสายไฟซึ่งอาจเป็นเศษสายเส้นใดเส้นหนึ่งของ สาย คู่ตีเกลียว ที่ตัดออกมา เชื่อมที่ปลายด้านหนึ่งทีละคู่ และใช้โอห์มมิเตอร์ ตรวจดูที่ปลายสายอีก ด้าน ทำทีละคู่ถ้าเข็มอยู่ที่ตำแหน่งศูนย์โอห์มแสดงว่าใช้ได้ ถ้ามีความต้านทานเกิดขึ้นในวงจร แสดงว่ามีข้อบกพร่องเกิดขึ้นที่สายคู่นั้น่
 ข้อแนะนำในการเดินสาย คู่ตีเกลียว
 • ควรใช้สาย UTP ที่ได้มาตรฐาน UL และควรเป็น CAT5
• ในการเข้าหัวหรือปอกปลายสาย ไม่ควรปอกและคลายเกลียวยาวเกิน 0.5 นิ้ว
• ระยะทางจากหัวต่อ และเกลียวภายในสายไม่ควรเกิน 0.25 นิ้ว
• ไม่ควรรัดหรือผูกสายให้แน่นเกินไป
• ไม่ควรทำให้สายงอหรือหักมากเกินไป
• ไม่ควรจัดวางสายใกล้อุปกรณ์ที่อาจทำให้เกิดสนามแม่เหล็ก เพราะอาจเกิดการรบกวนได้
• ไม่ควรกระชากสาย หรือดึงจนตึงในขณะติดตั้ง
• ต้องติดสัญลักษณ์ที่ปลายสายทั้งสองด้านเพื่อให้สามารถจำแนกสายแต่ละเส้นออกจากกัน ได้
• สายที่ใช้เชื่อมระหว่างฮับและหัวต่อตัวเมียไม่ควรยาวเกิน 90 เมตร เนื่องจากต้องเตรียม สายแพ็ทธ์สำหรับเชื่อมระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์และหัวต่อตัวเมียอีกประมาณ 10 เมตร ถ้าต่อให้
ยาวเกินกว่า 100 เมตรจะทำให้เกิดการลดทอนของสัญญาณมาก

Credit: