วันพุธที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

การเข้าหัวต่อ RJ-45 กับสายคู่ตีเกลียว

การเข้าหัวต่อ RJ-45 กับสายคู่ตีเกลียว
         เครือข่ายอีเธอร์เน็ตตามมาตรฐาน 10Base-T นับเป็นเครือข่ายที่นิยมใช้อย่างแพร่หลาย ที่สุด มาตรฐาน 10Base-T มีอัตราส่งข้อมูล 10 เมกะบิตต่อวินาทีใช้สายคู่ตีเกลียว UTP ( Unshield Twisted Pair ) และมีโทโปโลยีเครือข่ายแบบดาว ( Star ) โดยใช้ฮับเป็นศูนย์กลางการเชื่อมต่อช่วยให้ติดตั้งได้สะดวก อีกทั้งสามารถเพิ่มและลดจุดเชื่อมได้ง่าย
         หัวต่อที่ใช้กับสายคู่ตีเกลียวเป็นชนิด RJ-45 วิธีการเข้าหัวสายคู่ตีเกลียวกับหัวต่อ RJ-45 ถึงแม้จะไม่มีความสลับซับซ้อนและทำได้โดยไม่ยาก แต่จำเป็นต้องอาศัยความเข้าใจและเทคนิคความชำนาญตลอดจนปฏิบัติตามข้อกำหนด EIA/TIA 568 ซึ่งถือเป็นมาตรฐานที่นิยมใช้ในการเข้าหัวต่อ
มาตรฐาน EIA/TIA 568
         EIA/TIA 568 เป็นมาตรฐานที่กำหนดขึ้นโดยความร่วมมือของ 3 องค์กร ได้แก่ สำนักงานมาตรฐานแห่งสหรัฐอเมริกา ( American National Standards Institute : ANSI ) , สมาคม อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ( Electronic Industries Association : EIA ) และสมาคม อุตสาหกรรมโทรคมนาคม ( Telecommunications Industry Association : TIA ) โดยใช้ชื่อ มาตรฐานว่า “ EIA/TIA 568 Commercial Building Telecommunication Wiring Standard “ และนำออกใช้เมื่อเดือนกรกฎาคม 1991 มาตรฐานนี้กำหนดรูปแบบการเดินสายโดยใช้โทโปโลยีแบบดาว (Star) เน้นการใช้สายสื่อสารทั้งแบบ UTP ชนิด 3, 4 และ 5 , สาย STP ( Shield Twisted Pair )แบบ 150 โอห์ม และใยแก้วนำแสงแบบ 65.5/125 ไมโครเมตร ในบทความนี้จะกล่าวถึงมาตรฐาน EIA/TIA 568 สำหรับสายคู่ตีเกลียวแบบ UTP
         รูปแบบการเดินสายสัญญาณการเดินสายสัญญาณโดยทั่วไป สามารถทำได้ 2 แบบ คือการลากสายโดยตรงระหว่างอุปกรณ์ที่ต้องการต่อ เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์กับฮับ การต่อแบบนี้จะใช้สายหนึ่งเส้นต่อการเชื่อมต่อหนึ่งจุด ซึ่งมีข้อดีคือ ง่ายต่อการเชื่อมต่อ การติดตั้งไม่ตายตัว สามารถเปลี่ยนแปลง เคลื่อนย้ายจุดที่ตั้งของอุปกรณ์ต่าง ๆ ได้ง่าย การต่อแบบนี้เหมาะสำหรับเครือข่ายขนาดเล็กที่มีจำนวนเครื่องคอมพิวเตอร์ไม่มากนัก หรือทั้งระบบอยู่รวมกันในห้องเดียว ดังตัวอย่างในรูปที่ 1.
รูปที่ 1. การเชื่อมต่อแบบดาวอย่างง่ายโดยการต่อตรงระหว่างฮับและเครื่องคอมพิวเตอร์

         ส่วนการเดินสายอีกแบบ จะมีการใช้หัวต่อตัวเมียซึ่งมีลักษณะคล้ายช่องเสียบโทรศัพท์ แต่ มีขนาดใหญ่กว่า เข้ามาช่วยเป็นจุดพักซึ่งติดไว้ที่ผนังหรือพื้นห้อง ส่วนการต่อกับเครื่อง คอมพิวเตอร์จะใช้สายที่มีหัวต่อ RJ-45 ทั้ง 2 ด้าน ซึ่งมักมีความยาวไม่มากนักเรียกว่าสายแพ็ทธ์ ต่อ ระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์และหัวต่อตัวเมียอีกที นอกจากนี้ อาจใช้แผงพักสาย ( Patch Panels ) สำหรับการต่อเข้าหาฮับ เพื่อให้ง่ายต่อการดูแลตรวจสอบ ดังรูปที่ 2. และ 3.สายที่ใช้มักฝังผนัง , ลอดบนฝ้า หรือไว้ใต้พื้น การเดินแบบนี้ มักทำเตรียมไว้ขณะกำลังสร้างตึกเลย จึงต้องมีการ ออกแบบและวางแผนให้ดีก่อนการติดตั้ง เพราะจุดเชื่อมต่อแต่ละจุดจะค่อนข้างตายตัว การ เปลี่ยนแปลงเคลื่อนย้ายจุดทำได้ลำบาก การเดินแบบนี้เสียค่าใช้จ่ายมากขึ้นเล็กน้อยเพราะต้องใช้ อุปกรณ์เพิ่มขึ้น แต่จะมีความเป็นระเบียบดีกว่าการเดินโดยตรง เพราะไม่ต้องมีสายระโยงระยาง มาก จึงเหมาะสำหรับการเดินสายทั่วทั้งตึก ซึ่งอาจมีหลาย ๆ ชั้น แต่ละชั้นมีห้องหลายห้อง
 รูปที่ 2.แผงพักสาย ( Patch Panels )
 รูปที่ 3. การเดินสายเครือข่ายผ่านแผงพักสาย

         ลักษณะของสายคู่ตีเกลียว สายคู่ตีเกลียวเป็นสื่อนำสัญญาณที่พบเห็นได้ทั่วไป โดยเฉพาะในระบบเครือข่าย คอมพิวเตอร์ สามารถส่งผ่านสัญญาณแบบอะนาลอกหรือดิจิตอลได้ การส่งสัญญาณดิจิตอล สามารถรองรับการส่งผ่านข้อมูลที่อัตราเร็วสูงได้ ซึ่งปัจจุบันอยู่ในช่วง 10 - 100 เมกะบิตต่อวินาที ภายในสายประกอบด้วยสายนำสัญญาณ 4 คู่ แต่ละคู่จะมีสายสี และสายสีสลับกับสีขาวเป็นริ้ว เพื่อให้การเลือกต่อสายที่ปลายทั้งสองถูกต้อง แต่ละคู่สีจะพันกันเป็นเกลียวตลอดความยาวของสาย เพื่อลดสัญญาณรบกวนในสาย โดยกำหนดสายและเรียกคู่สายดังรูปที่ 4. ในการเชื่อมต่อต้องมีการ คลายเกลียวบริเวณจุดที่ต้องเข้าหัว ซึ่งไม่ควรคลายเกลียวเกิน 0.5 นิ้ว สายแต่ละสีมีรหัสเรียกดังนี้
1. grn ( เขียว )
2. wh/grn ( ขาวสลับเขียว )
3. or ( ส้ม )
4. wh/or ( ขาวสลับส้ม )
5. blu ( ฟ้า )
6. wh/blu ( ขาวสลับฟ้า )
7. brn ( น้ำตาล )
8. wh/brn ( ขาวสลับน้ำตาล )

 รูปที่ 4. สัญลักษณ์การกำหนดสีและเรียกคู่สาย

         มาตรฐานการต่อมี 2 แบบ คือ แบบ T568A และ T568B ซึ่งมีวิธีการเรียงสีแตกต่างกัน ผู้ใช้ควรเลือกใช้แบบใดแบบหนึ่ง สำหรับ การเชื่อมต่อแบบ 10Base-T จะใช้สายคู่ส้มและเขียว ส่วนอีก 2 คู่คือน้ำตาลและฟ้า อาจใช้กับเครือข่ายอีกหนึ่งวง หรือสำหรับการเชื่อมต่อสายโทรศัพท์ โดยทั่วไปส่วนใหญ่อุปกรณ์ต่าง ๆ มักนิยมใช้แบบ T568B มากกว่า ที่สำคัญคือการเลือกใช้ควรใช้ แบบเดียว ไม่ควรผสมทั้งสองแบบ เพราะจะทำให้สับสนได้ บทความนี้จะยึดมาตรฐาน T568B เป็น หลัก
 อุปกรณ์ที่ใช้ ในการเข้าหัว RJ-45
1. หัวต่อ RJ-45 หัวต่อตัวผู้เป็นอุปกรณ์สำหรับใส่ที่ปลายสาย UTP มีลักษณะเป็นพลาสติกสี่เหลี่ยมคล้าย หัวต่อโทรศัพท์ มีช่องสำหรับเสียบสายที่ด้านหลัง ด้านล่างเรียบ ส่วนด้านบนมีตัวล๊อค ถ้าหันหน้า เข้าด้านหน้าของหัวต่อพิน 1 จะอยู่ทางด้านซ้ายมือของเรา ในขณะที่พิน 8 จะอยู่ทางขวามือ ดังรูปที่ 5. หัวต่อตัวผู้อาจมีการเรียกได้หลายแบบเช่น RJ-45 Connecter หรือ RJ-45 Jack Plug
 รูปที่ 5. หัวต่อ RJ-45 ตัวผู้ ( ซ้าย ) และตัวเมีย ( ขวา )

         สำหรับหัวต่อตัวเมียเป็นเบ้าเสียบสำหรับหัวต่อ RJ-45 ตัวผู้ เมื่อมองจากด้านที่จะนำหัวต่อ ตัวผู้เสียบ พิน 8 จะอยู่ทางซ้าย ส่วนพิน 1 จะอยู่ทางขวา หัวต่อตัวเมียจะมีลักษณะเป็นกล่องมีช่อง สำหรับเสียบหัวต่อ ด้านในกล่องจะมีขั้ว ซึ่งจะเป็นส่วนที่เชื่อมกับสายนำสัญญาณจริง ๆ ดังรูปที่ 6. และ 7. หัวต่อตัวเมียอาจเรียกว่า Female Outlet ก็ได้ ส่วนตัวขั้วอาจเรียกว่า Jack Face
 รูปที่ 6. หัวต่อตัวเมีย ส่วนที่ต่อกับผนัง
 รูปที่ 7. ตัวขั้วที่ต่อกับสาย UTP

 2. คีมเข้าหัวสาย ( Plug Crimper ) เป็นอุปกรณ์ที่ใช้สำหรับบีบหัว RJ-45 ตัวผู้ใส่ยังสาย มีลักษณะเป็นคีมหนีบ ประกอบด้วย ช่องสำหรับใส่หัว RJ-45 และ RJ-11 ( หัวต่อแจ็คโทรศัพท์ ) มีใบมีดสำหรับปอกและลอกเปลือก สาย ดังรูปที่ 8.
 รูปที่ 8. คีมเข้าหัวสาย

 3. ตัวกระแทกสาย ( Punch Down Tool ) เป็นอุปกรณ์สำหรับการเข้าสายกับแผงพักสาย เป็นเครื่องสำหรับตอกสายใส่ในรอยบาก ประกอบด้วยใบมีดแบบ T-110 สำหรับสาย UTP และ T-66 สำหรับหัวต่อ RJ-11 หรือ สายโทรศัพท์โดยแต่ละใบมีดจะมีปลายสองด้านถอดสลับใช้งานได้ ด้านหนึ่งสำหรับใช้ตอก ส่วน อีกด้านสำหรับตัดสาย ดังรูปที่ 9.
 รูปที่ 9. ตัวกระแทกสาย

การเข้าหัว RJ45 ตัวผู้ มีขั้นตอนดังนี้
1. ปอกเปลือกสาย UTP ด้านที่ต้องการต่อ ยาวประมาณ 0.5 - 1 นิ้ว ดังรูปที่ 10.
 รูปที่ 10. สาย UTP ที่ปอกเปลือกออก

 2. คลายเกลียวที่สายทั้ง 4 คู่
 3. จัดสายเรียงสีให้ได้ตามมาตรฐาน เช่นตามมาตรฐาน T568B จัดให้สายเรียงขนานกัน ไปและต้องระวังมิให้จัดสายผิดหรือกลับด้านกัน โดยถ้าหันปลายสายออกจากตัวเรา สายเส้นที่หนึ่ง จะอยู่ทางซ้ายมือสุด ซึ่งด้านนี้เมื่อต่อกับหัว RJ-45 ด้านที่มีก้านตัวล๊อกจะอยู่ด้านล่าง ส่วนด้านบน จะเป็นด้านที่เรียบ ลำดับการจัดพินตามมาตรฐาน EIA/TIA 568B แสดงได้ดังรูปที่ 11. หรือดังนี้
ความหมายของคำต่าง ๆ มีดังนี้
pin แทนช่องแต่ละช่องในหัวต่อ RJ-45 ที่จะนำสาย UTP เข้าไปต่อด้วย
pair แทนคู่ของสายแต่ละคู่ทั้งสี่คู่ในสาย UTP
name แทนหน้าที่ของสายแต่ละเส้นที่ใช้ส่งข้อมูลจริง ตามมาตรฐาน T568 ซึ่งจะมีทั้งรับและส่ง ข้อมูล โดยแต่ละทางของการส่งข้อมูลจะใช้แรงดันไฟเป็น 2 ขั้ว เพื่อให้มีการหักล้างกันของ สัญญาณในสายเพื่อการลดสนามแม่เหล็กที่อาจส่งผลกระทบต่อการส่งข้อมูล
 รูปที่ 11. การเรียงสีตามมาตรฐาน T568B

4. ใช้มือรีดสายทั้งแปดเส้นที่เรียงกันถูกต้องแล้ว ให้ขนานและเรียบ ไม่ให้มีการซ้อนเกย กัน
5. ตัดปลายสายทั้งแปดเส้น ให้ปลายเรียบเสมอกัน โดยตัดให้ห่างจากเปลือกนอกของสาย ไม่เกิน 0.5 นิ้ว
6. ใช้มือหนีบสายทั้งแปดเส้นให้แน่น และค่อย ๆ สอดเข้าไปในตัวหัวต่อ RJ-45 ตัวผู้ โดย ให้ปลายทั้งแปดเข้าไปเสมอกันตลอด ดังรูปที่ 12. ถ้ามีการเหลื่อมกันหรือปลายไม่เสมอกันควรนำ สายออกมาจัดใหม่ สอดปลายสายเข้าไปจนสุดหัวต่อ ซึ่งเมื่อมองดูที่หัวต่อใกล้ ๆ ที่ด้านปลาย จะต้องมองเห็นปลายสายทั้งแปดเส้น ชนกับสุดปลายด้านในของหัวต่อ RJ-45 ถ้าปลายสายทั้งแปด ไม่เสมอกัน หรือบางเส้นไม่ชนสุดปลายของหัวต่อ ควรทำใหม่
 รูปที่ 12. การตัดปลายสายก่อนจะใส่

 7. เมื่อเห็นว่าปลายสายถูกต้องดีแล้ว ใช้คีมหนีบที่หัวต่อ บีบให้แน่น เพื่อให้สายและหัวต่อ แนบสนิทกัน ดังรูปที่ 13. ถ้าบีบไม่แน่น อาจทำให้สายมีปัญหาได้เมื่อใช้งานจริง
 รูปที่ 13. การใช้คีมหนีบหัวต่อ RJ-45 ให้แน่น

 8. เมื่อเข้าหัวทั้งสองด้านแล้วควรตรวจสอบว่าใช้งานได้จริง หากต้องการเข้าหัวต่อตามมาตรฐาน T568A ให้จัดสายตามรหัสสีดังนี้
         นอกจากนี้ ในกรณีที่ต้องการเชื่อมต่อเครื่องคอมพิวเตอร์เพียงสองเครื่องเข้าด้วยกัน โดยไม่ ต้องการใช้ฮับ แต่เป็นการต่อระหว่างทั้งสองเครื่องโดยตรง เช่นการต่อเครื่องที่ใช้ ระบบปฏิบัติการ วินโดว์95 สองเครื่องเข้าด้วยกัน ก็สามารถทำได้ โดยใช้การไขว้สายหรือการสลับสายที่ปลาย หัวต่อของสายอีกด้านหนึ่ง เช่นตามมาตรฐาน T568B ด้านหนึ่งต่อตามแบบปกติ ส่วนอีกด้านให้ต่อ ดังนี้
         การต่อสาย UTP เข้ากับหัวต่อตัวเมีย หัวต่อตัวเมีย จะใช้ฝังไว้ตามกำแพงหรือพื้นห้องเป็นจุด ๆ สำหรับให้ต่อกับเครื่อง คอมพิวเตอร์ต่าง ๆ ในระบบเครือข่าย หัวต่อตัวเมียมีลักษณะเป็นเบ้าเสียบ ภายในจะมีตัวขั้วซึ่งเป็น ส่วนที่ต่อกับสาย UTP ส่วนที่เชื่อมโยงกับแผงพักสาย ซึ่งโดยทั่วไปจะอยู่ในห้องศูนย์กลางหรือ ห้องควบคุมระบบเครือข่ายนั้น ๆ หรืออาจจะต่อกับฮับโดยตรงเลยก็ได้ โดยอีกด้านจะต่อเป็นหัว RJ-45 ตัวผู้ใช้เสียบกับฮับ ตัวขั้ว ( Jack Face ) จะต้องมีการระบุได้ด้วยว่า ใช้กับมาตรฐานใด T568A หรือ T568B ใช้กับสาย คู่ตีเกลียวประเภท ( CATEGORY )ใด โดยทั่วไปตามท้องตลาดมักจะเป็น CAT3 หรือ CAT5 การใช้งานควรจะใช้ตามที่ระบุไว้ ตัวขั้วจะมีปลายสองด้าน ด้านหนึ่งจะมีช่องสำหรับเสียบหัวต่อ RJ-45 ตัวผู้ ด้านนี้จะเป็นด้านที่หันออกจากผนังหรือพื้น อีกด้านจะเป็นด้านที่สำหรับนำสาย UTP เข้ามาใส่ ตัวขั้วจะมีช่องเป็นรอยบากแคบ ๆ สำหรับใส่สายแปดช่อง แบ่งเป็นสองด้านมี ช่องว่างตรงกลางระหว่างทั้งสองด้าน ด้านละสี่ช่อง ถ้าให้ด้านที่ใช้ต่อกับ RJ-45 ตัวผู้เป็นด้านบน ตามมาตรฐาน T568B ช่องด้านซ้ายจะสำหรับสายคู่เขียวและน้ำตาล ด้านขวาคู่ฟ้าและส้ม ซึ่งจะมีสี กำกับไว้ที่ระหว่างช่องของแต่ละคู่ โดยในแต่ละคู่ ด้านบนให้ใส่สายสีริ้วด้านล่างจึงเป็นสายสีนั้น ๆ เช่นฝั่งด้ายซ้ายสำหรับคู่สีเขียวและน้ำตาล จะใส่สายดังนี้คือ ขาวเขียว-เขียว-ขาวน้ำตาล-น้ำตาล ส่วนด้านขวาจะเป็น ขาวฟ้า-ฟ้า-ขาวส้ม-ส้ม แต่ทั้งนี้ผู้ผลิตตัวขั้วอาจจัดรูปแบบสีแตกต่างจากนี้ได้ ซึ่งผู้ผลิตจะมีใบคู่มือกำกับมาให้ ก่อนการใช้งานจริงจึงควรตรวจสอบให้แน่ใจก่อน ส่วนแผงพัก สายจะมีลักษณะคล้ายกับตัวขั้วที่เรียงติดกันหลาย ๆ ตัวเป็นแนวเดียวกัน ดังรูปที่ 14. รูปแบบการ ใส่สายในแผงพักสายควรดูตามคู่มือกำกับของแผงพักสายนั้น ๆ
 รูปที่ 14. แผงพักสายที่ยังไม่ได้ต่อสาย

 การใส่สายให้กับตัวขั้ว มีขั้นตอนดังนี้

1. ปอกเปลือกหุ้มสาย UTP ออกให้ยาวประมาณ 1-1.5 นิ้ว
2. นำสาย UTP สอดไปช่องตรงกลางของตัวขั้ว โดยแยกสายทั้งสี่คู่ออกเป็นสองด้านตาม คู่สีให้มีลักษณะคล้ายตัว T ดังรูปที่ 15.
 รูปที่ 15. การแยกสาย UTP ใส่ลงในตัวขั้ว

 3. จัดสายแต่ละสีสอดเข้าไปตามช่องรอยบากสำหรับแต่ละสี สอดโดยการอ้อมจากด้าน นอกของตัวขั้ว เข้าสู่ช่องหนีบ ปลายสายจะชี้เข้าหาด้านตรงกลางของตัวขั้ว ดังรูปที่ 16.
 รูปที่ 16. การสอดสายไฟเข่าสู่รอยบากของตัวขั้ว

 4. ใช้ตัวกระแทกสาย ตอกหรือกดสายลงไประหว่างช่องรอยบากให้แน่น ถ้าไม่มีไม่มีตัว กระแทกสาย อาจใช้ด้านสันของคัตเตอร์กดแทนก็ได้ ทำจนครบทั้งแปดเส้น ดังรูปที่ 17.
 รูปที่ 17. การใช้ตัวกระแทกสาย กดสายลงไประหว่างช่องรอยบาก

         การตรวจสอบข้อบกพร่องของสาย และหัวต่อ ในปัจจุบัน มีการผลิตอุปกรณ์สำหรับตรวจการทำงานและหาข้อบกพร่องของสาย ( Tester ) ออกมาจำหน่ายหลายผลิตภัณฑ์ หลายชนิด หลายยี่ห้อ ดังรูปที่ 18. ซึ่งโดยทั่วไปจะมี ลักษณะเป็นอุปกรณ์สำหรับใส่ที่ปลายสายทั้งสองด้าน จะมีการส่งสัญญาณ และแสดงผลการทำงาน ออกมา ซึ่งการใช้อุปกรณ์ดังกล่าว จะทำให้สะดวกและประหยัดเวลา บางผลิตภัณฑ์สามารถบอกถึง ความยาวของสายได้ด้วย ดังตัวอย่างที่ผู้เขียนใช้ของ Hewlett Packard รุ่น HP340 SCANNER ซึ่ง มี ฟังก์ชันในการตรวจสอบทำงานได้หลายอย่าง ไม่เฉพาะแต่การตรวจสอบสาย UTP และหัวต่อ RJ-45 เท่านั้น
 รูปที่ 18.อุปกรณ์ตรวจสอบแบบต่าง ๆ

         การตรวจสอบเมื่อนำปลายหัวต่อสายทั้ง 2 ด้านต่อเข้ากับอุปกรณ์ตรวจ เครื่องจะรายงาน ผลออกมาเป็นตัวเลข 1 ถึง 8 ซึ่งตัวเลขแต่ละตัวจะแทนสายแต่ละสาย การรายงานจะรายงานเป็น ตัวเลขสองบรรทัดที่ต้องตรงกันทั้งสองบรรทัดและแสดงออกมาครบทั้ง 1 ถึง 8 จึงจะแสดงว่าสาย และหัวต่อไม่มีข้อบกพร่อง เช่น
12345678
12345678
 แต่ถ้าตัวเลขบางตัวขาดหายไป หรือ มีการสลับตัวเลขกัน เช่น
12345678
12_46578
         แสดงว่ามีข้อบกพร่องเกิดขึ้น ถ้าเป็นกรณีตัวเลขหายให้ลองใช้คีมหนีบ บีบที่หัว RJ-45 อีกครั้งให้ แน่น ๆ ถ้าแน่ใจว่าหัวใช้ได้ หรือบีบแน่นดีแล้ว แสดงว่าอาจเกิดจากเส้นลวดในสาย ซึ่งกรณีนี้มักไม่ ค่อยพบมากนักเพราะข้อบกพร่องส่วนใหญ่มักเกิดจากการบีบหัว RJ-45 ไม่แน่นมากกว่า ส่วนกรณี ที่ตัวเลขสลับกันแสดงว่าใส่สายผิดที่เส้นนั้น ให้ตรวจสอบดูสายด้านที่ต่อผิด จากนั้นตัดหัวต่อ RJ- 45 ด้านนั้นทิ้งและจัดการเข้าหัวใหม
ในกรณีที่ไม่มีอุปกรณ์ตรวจสอบ อาจใช้เศษสายไฟซึ่งอาจเป็นเศษสายเส้นใดเส้นหนึ่งของ สาย คู่ตีเกลียว ที่ตัดออกมา เชื่อมที่ปลายด้านหนึ่งทีละคู่ และใช้โอห์มมิเตอร์ ตรวจดูที่ปลายสายอีก ด้าน ทำทีละคู่ถ้าเข็มอยู่ที่ตำแหน่งศูนย์โอห์มแสดงว่าใช้ได้ ถ้ามีความต้านทานเกิดขึ้นในวงจร แสดงว่ามีข้อบกพร่องเกิดขึ้นที่สายคู่นั้น่
 ข้อแนะนำในการเดินสาย คู่ตีเกลียว
 • ควรใช้สาย UTP ที่ได้มาตรฐาน UL และควรเป็น CAT5
• ในการเข้าหัวหรือปอกปลายสาย ไม่ควรปอกและคลายเกลียวยาวเกิน 0.5 นิ้ว
• ระยะทางจากหัวต่อ และเกลียวภายในสายไม่ควรเกิน 0.25 นิ้ว
• ไม่ควรรัดหรือผูกสายให้แน่นเกินไป
• ไม่ควรทำให้สายงอหรือหักมากเกินไป
• ไม่ควรจัดวางสายใกล้อุปกรณ์ที่อาจทำให้เกิดสนามแม่เหล็ก เพราะอาจเกิดการรบกวนได้
• ไม่ควรกระชากสาย หรือดึงจนตึงในขณะติดตั้ง
• ต้องติดสัญลักษณ์ที่ปลายสายทั้งสองด้านเพื่อให้สามารถจำแนกสายแต่ละเส้นออกจากกัน ได้
• สายที่ใช้เชื่อมระหว่างฮับและหัวต่อตัวเมียไม่ควรยาวเกิน 90 เมตร เนื่องจากต้องเตรียม สายแพ็ทธ์สำหรับเชื่อมระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์และหัวต่อตัวเมียอีกประมาณ 10 เมตร ถ้าต่อให้
ยาวเกินกว่า 100 เมตรจะทำให้เกิดการลดทอนของสัญญาณมาก

Credit:

วันพุธที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

วิธีการ config AccessPoint D-link DIR-600

Config D-Link Dir-600 Wireless G Router 

1. ต่อสาย lan กับ DIR-600 กับ PC
2. เข้าไปที่ Browser พิมพ์ 192.168.0.1
3. สำหรับเข้าไป config router
    user : admin   password : (ว่างๆ)
4. ที่ฟังชั่น LAN Setup ให้ Disable DHCP ไว้ เปลี่ยน IP 192.168.0.1 เป็น IP Rankเดียวกันกับ      Router ADSL Modem(192.168.1.1)ของคุณเช่น 192.168.1.10
5. ที่ฟังชั่น Wireless lan setup ให้ enable wireless lan,Chanell ให้เลือก Auto
6. ต่อสาย lan จาก mdem router เข้ากับ Dir-600 เลือก portไหนก็ได้ 
    LAN1-4  อย่าเสียบPort wanครับ
7. คุณก็สามารถใช้งาน Wireless ออก Internet ได้เลย ถ้าคุณต้องการตั้งค่า Password ในการเชื่อมต่อ Wireless ให้เข้าไปตั้งในเมนู Wireless เลือก Security ใช้เป็น WEP 64 Bit ก็น่าจะพอ ใส่ค่าตัวเลข 0-9 หรือ ตัวอักษร A-F และตั้งรวมทั้งตัวอักษรและตัวเลขไม่เกิน 10 ตัวครับ 

วันอาทิตย์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2553

หลักการทำงานของ PHP

หลักการทำงานของ PHP

PHP เป็นภาษาจำพวก scripting language คำสั่งต่างๆจะเก็บอยู่ในไฟล์ที่เรียกว่า สคริปต์ (script) และเวลาใช้งานต้องอาศัยตัวแปลชุดคำสั่ง ตัวอย่างของภาษาสคริปก็เช่น JavaScript, Perl เป็นต้น ลักษณะของ PHP ที่แตกต่างจากภาษาสคริปต์แบบอื่นๆ คือ PHP ได้รับการพัฒนาและออกแบบมา เพื่อใช้งานในการสร้างเอกสารแบบ HTML โดยสามารถสอดแทรกหรือแก้ไขเนื้อหาได้โดยอัตโนมัติ ดังนั้นจึงกล่าวว่า PHP เป็นภาษาที่เรียกว่า server-side หรือ HTML-embedded scripting language เป็นเครื่องมือที่สำคัญชนิดหนึ่งที่ช่วยให้เราสามารถสร้างเอกสารแบบ Dynamic HTML ได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีลูกเล่นมากขึ้น




เครื่องลูกข่ายจะร้องข้อมายัง Web Server ที่มี Script เป็น PHP จากนั้น Script PHP จะทำการประมวลผลข้อมูล ที่ร้องขอเข้ามา ในบ้างครั้งมีการติดต่อ หรือดึงข้อมูลจาก Database ก็จะมีการส่งข้อมูลไปดึงข้อมูลมาประมวลผล เมื่อมีการประมวลผลเสร็จแล้วก็ส่งข้อมูลกลับไปยังเครื่องลูกข่ายที่ร้องข้อข้อมูลเข้ามา

การทดสอบภาษา PHP

สำหรับการทดสอบภาษา php ง่ายๆ ครับเพียงแค่เขียนคำสั่งเพียงบรรทัดเดียวเราก็สามารถรู้ได้ว่า ที่เว็บเซิร์ฟเวอร์หรือโฮสติ้งนั้นรองรับภาษา php หรือไม่ โดยการการพิมพ์โด้ค PHP ดังนี้


เสร็จแล้วบันทึกไฟล์ชื่อว่า test1.php บันทึกไว้ในห้องเก็บเว็บไซต์ ...\www\test1.php
ทำการทดสอบโดยการพิมพ์ URL ว่า http://localhost/test1.php

credit:http://click065.multiply.com/reviews/item/9

ความหมายของ PHP

PHP เป็นภาษาจำพวก scripting language คำสั่งต่างๆจะเก็บอยู่ในไฟล์ที่เรียกว่า สคริปต์ (script) และเวลาใช้งานต้องอาศัยตัวแปลชุดคำสั่ง ตัวอย่างของภาษาสคริปก็เช่น JavaScript, Perl เป็นต้น ลักษณะของ PHP ที่แตกต่างจากภาษาสคริปต์แบบอื่นๆ คือ PHP ได้รับการพัฒนาและออกแบบมา เพื่อใช้งานในการสร้างเอกสารแบบ HTML โดยสามารถสอดแทรกหรือแก้ไขเนื้อหาได้โดยอัตโนมัติ ดังนั้นจึงกล่าวว่า PHP เป็นภาษาที่เรียกว่า server-side หรือ HTML-embedded scripting language เป็นเครื่องมือที่สำคัญชนิดหนึ่งที่ช่วยให้เราสามารถสร้างเอกสารแบบ Dynamic HTML ได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีลูกเล่นมากขึ้น




เนื่องจากว่า PHP ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของตัว Web Server ดังนั้นถ้าจะใช้ PHP ก็จะต้องดูก่อนว่า Web server นั้นสามารถใช้สคริปต์ PHP ได้หรือไม่ ยกตัวอย่างเช่น PHP สามารถใช้ได้กับ Apache WebServer และ Personal Web Server (PWS) สำหรับระบบปฏิบัติการ Windows 95/98/NT

ในกรณีของ Apache เราสามารถใช้ PHP ได้สองรูปแบบคือ ในลักษณะของ CGI และ Apache Module ความแตกต่างอยู่ตรงที่ว่า ถ้าใช้ PHP เป็นแบบโมดูล PHP จะเป็นส่วนหนึ่งของ Apache หรือเป็นส่วนขยายในการทำงานนั่นเอง ซึ่งจะทำงานได้เร็วกว่าแบบที่เป็น CGI เพราะว่า ถ้าเป็น CGI แล้ว ตัวแปลชุดคำสั่งของ PHP ถือว่าเป็นแค่โปรแกรมภายนอก ซึ่ง Apache จะต้องเรียกขึ้นมาทำงานทุกครั้ง ที่ต้องการใช้ PHP ดังนั้น ถ้ามองในเรื่องของประสิทธิภาพในการทำงาน การใช้ PHP แบบที่เป็นโมดูลหนึ่งของ Apache จะทำงานได้มีประสิทธิภาพมากกว่า



ลักษณะเด่นของ PHP



- ใช้ได้ฟรี

- PHP เป็นโปร แกรมวิ่งข้าง Sever ดังนั้นขีดความสามารถไม่จำกัด

- Conlatfun นั่นคือ PHP วิ่งบนเครื่อง UNIX,Linux,Windows ได้หมด

- เรียนรู้ง่าย เนืองจาก PHP ฝั่งเข้าไปใน HTML และใช้ดครงสร้างและไวยากรณ์ภาษาง่ายๆ

- เร็วและมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะเมือใช้กับ Apach Server เพราะไม่ต้องใช้โปรแกรมจากภายนอก

- ใช้ร่วมกับ XML ได้ทันที

- ใช้กับระบบแฟ้มข้อมูลได้

- ใช้กับข้อมูลตัวอักษรได้อย่างมีประสิทธิภาพ

- ใช้กับโครงสร้างข้อมูลใช้ได้แบบ Scalar,Array,Associative array

- ใช้กับการประมวลผลภาพได้

credit:




ภาษาพีเอชพี (PHP) คืออะไร


พีเอชพี (PHP)
พีเอชพี (PHP) คือ ภาษาคอมพิวเตอร์ในลักษณะเซิร์ฟเวอร์-ไซด์ สคริปต์ โดยลิขสิทธิ์อยู่ในลักษณะโอเพนซอร์ส ภาษาพีเอชพีใช้สำหรับจัดทำเว็บไซต์ และแสดงผลออกมาในรูปแบบ HTML โดยมีรากฐานโครงสร้างคำสั่งมาจากภาษา ภาษาซี ภาษาจาวา และ ภาษาเพิร์ล ซึ่ง ภาษาพีเอชพี นั้นง่ายต่อการเรียนรู้ ซึ่งเป้าหมายหลักของภาษานี้ คือให้นักพัฒนาเว็บไซต์สามารถเขียน เว็บเพจ ที่มีความตอบโต้ได้อย่างรวดเร็ว

ชื่อของพีเอชพี
ภาษาพีเอชพี ในชื่อภาษาอังกฤษว่า PHP ซึ่งใช้เป็นคำย่อแบบกล่าวซ้ำ จากคำว่า PHP Hypertext Preprocessor หรือชื่อเดิม Personal Home Page

ข้อได้เปรียบของ PHP


PHP เป็นสคริปต์ที่มีความสามารถดีเท่ากับ Server Side Script ตัวอื่นๆ แต่ข้อดี ที่เด่นอีกอย่างหนึ่งของ PHP ที่ผู้พัฒนาโปรแกรมประยุกต์บนเว็บ (Web Programmer) นิยมมาใช้กัน คือPHP เป็น Server Side Scripts ที่ ทำงานบน Apache Web Server ซึ่งเป็น Web Server ที่ทำงานในระบบปฎิบัติการ Linux เป็นที่ทราบกันดีว่า ระบบปฏิบัตการ Linux นั้นปัจจุปันค่อนข้างมาแรง และเพิ่มกระแสนิยมในการถูกเลือกใช้งานมากยิ่งขึ้น เนื่องมาจาก Linux เป็นระบบปฏิบัติการ Open Source มีการแจกจ่ายให้นำไปใช้ได้โดยไม่คิดค่าลิขสิทธิ์

เนื่องจาก PHP เป็นโค้ดแบบเปิดเผย(Open Source) ฉะนั้นจึงมาการแจกจ่ายโค้ดให้กับนักพัฒนาโปรแกรมทั่วโลกนำไปใช้งาน และ พัฒนาได้อย่างอิสระทำให้เกิดการพัฒนาได้อย่างรวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ

Script ที่ใช้ในการออกแบบเว็บแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม

> Client-Side Script เป็น Script ที่ทำงานบนเครื่องของผู้ใช้เอง เช่น Java Script,VBScript
> Server-Side Script เป็น Script ที่ทำงานบนเครื่องคอมพิวเตอร์ที่เป็น Server เช่น PHP, ASP, JSP
credit:http://www.choosak.com/page-tag/%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%A2-php/

วันอาทิตย์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2553

การทำภาพถ่ายให้เป็นภาพวาด

การทำภาพถ่ายให้เป็นภาพวาดจาก cs5


1.นำรูปที่ต้องการแต่งมาวางไว้ในcs5แล้วcopy layer ขึ้นมา 1 layer
2. คลิ๊ก Filter-Stylize-Find Edge
3.แล้วจากนั้นก็ไปที่ Filter-Blur-Gaussian Blur
4.ปรับภาพได้ตามความเหมาะสมแล้วก็จะได้ภาพอย่างที่เห็นครับ

วันเสาร์ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2553

การทำภาพ SKETCH จาก Cs5




1.นำภาพที่ต้องการทำลงมา
2.ทำการcopy layer โดยคลิกที่ backgrou
3.จากนั้นก็กด(Shift+Ctrl+U) ภาพก็จะเป็นขาวดำ
4.หลังจากนั้นให้เรา Copy Layer ของภาพที่เป็นภาพขาวดำขึ้นมา  Layer แล้วก็กด (Ctrl + I)
5.แล้วก็กด Layer ที่ copy มาหลังจากนั้นเปลี่ยนโหมดของภาพเป็น Color Dodge
6. หลังจากนั้นใส่ Effect Filter - Blur -Gaussian Blur ปรับตามที่เราต้องการ เราก็จะได้ภาพตามรูปที่เห็นนี้
 
การทำภาพสีน้ำจาก cs5


1.นำรูปที่เราต้องการแต่งมาไว้ในcs5จากนั้นไปที่เคื่องมือ Texture - Texturizer
2.จากนั้นก็ปรับความคมชัดของภาพได้ตามความพอใจ 


การทำกรอบรูปจาก cs5



1.นำภาพที่ต้องการทำกรอบรูปมาใส่ใน cs5 แล้วหากรอบรูปที่ต้องการมาครับ
2.ใช้เครื่องมือ Magic Wand Tool .นการตัดภาพหลังออก
3.แล้วนำรูปของเรามาจัดให้พอดีกับกรอบแล้วนำวางใส่ครับแล้วคุณก็จะได้ดั้งภาพครับ




การทำฟองอากาศ จากcs5




1.สร้างหน้ากระดาษขึ้นมา 1 ชิ้นขนาด 300x300 ครับ
2.จากนั้นก็เทสีเทา โดยการคลิ๊กที่เครื่องมือเทสี
3.ต่อไปก็คลิ๊กที่แถบเมนูด้านบน เลือก Filter - Render - Lens Flare
4.ต่อไปก็คลิ๊กที่แถบเมนูด้านบน เลือก Filter - Distort - Polar Coordinates และเลือก Polar to Rectangular
5.พอจากนั้นแล้วก็ปลดล็อค Background โดยการดับเบิ้ลคลิ๊กที่ Layer
6.ต่อไปก็กดเลือก Elliptical Marquee Tool กด Shift ค้าง แล้วลากเม้าส์เพื่อสร้าง Selection วงกลมครับ
7.กด Ctrl + Shift + i เพื่อกลับด้าน Selection แล้วกด Delete เพื่อลบพื้นที่ที่อยู่ด้านหลังออกครับ

8.เปลี่ยนสีให้เข้ากับภาพพื้นหลัง โดยกด Ctrl + u แล้วปรับสีตามที่ต้องการครับ

วันพฤหัสบดีที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2553



การทำภาพรุ้ง จาก cs5


1.นำรูปที่ต้องการทำรุ้งนั้นมาใส่ในphotoshop cs5
2.จากนั้นคลิกไปที่ gradient tool แล้วๆไปที่ tool edit gradient จากนั้นไปที่ special effect
3.จากนั้นก้ไปเลือกแบบที่ รุ้ง แล้วลากจากล่างขึ้นไปด้านบน
4.จากนั้นปรับรุ้งให้จางโดยไปที่ opacity
5.แล้วก็จะได้ภาพดั้งที่เห็นครับ
การทำภาพซ้อนจาก cs5


1.นำภาพทั้ง2ภาพที่จะทำการซ้อนมาใส่ใน cs5 จากนั้น เราก็ เปลี่ยนภาพที่จะมาวางทับกันภาพนั้นให้เปลี่ยนเป็น Layer
2.พอวางซ้อนกันแล้วให้เข้าไปที่ Layer +Layer Mask จากนั้นใช้เครื่องมือที่มีชื่อว่า Gradient Tool ทำสีให้เป็น ขาวดำ แล้วกดลากใส่ เราก็ จะได้ภาพซ้อนที่เป็นดังภาพนี้ ครับ

การทำภาพ สายฟ้า







การทำภาพฟ้าผ่า จาก cs5




1.สร้างหน้าเอกสารใหม่ขึ้นมา ขนาดเท่าไหร่ก็ได้ครับ โดยปรับกระดาษให้เป็น International paper
2.ใช้เครื่องมือ Gradient Tool ลากจากซ้ายไปขวา ให้เลือกรูปแบบที่เป็นการไล่โทนจากซ้ายไปขวานะครับ ซึ่งตัวเลือกตัวนี้ จะอยู่ทางซ้ายของเรา แต่ต้องทำให้สีนั้นเป็นขาวดำก่อน
3.เลือกเมนูด้านบนโดยใช้Filter>Render>Difference แล้วก็กดกด Ctrl+I เป็นการ Invert สีโดยภาพที่ได้จะกลายเป็นสีขาวมากกว่าสีดำครับ
4.กด Ctrl+L เพื่อปรับ Level โดยปรับค่า Level ของ ภาพ ตรงช่อง Inputs Level ดังนี้ครับ 208, 0.40, 255
5.จากนั้นเราก็ปรับภาพโดยการกด Ctrl+U และก็ปรับสีได้ตามใจชอบ
6..เพียงเท่านี้ เราก็จะได้ภาพฟ้าผ่าที่ทำขึ้นเอง ง่าย สะดวก และรวดเร็วครับ ลองนำเทคนิคนี้ไปใช้กันดูนะครับ

การทำภาพพื้นหลังจาก cs5











การทำภาพพื้นหลัง

1.นำรูปภาพที่เราต้องการทำภาพพื้นหลังมาใส่ใน cs5
2.เริ่มการตัดภาพโดยใช่เครื่องมือMegnatic Lasso Tool
3.จากนั้นไปที่Edit - Fill- และกด ok
4.คุณก็จะได้ดั้งภาพครับ

วิธีการลง windows

-ขั้นตอนแรก นำแผ่นwindows เข้าเครื่อง แล้วก็กด restart จากนั้นรอให้หน้าจอขึ้นรูปให้เรา setup โดยกด F10 หรือ F9

-ขั้นตอนที่2 ไปยังคำว่าBoot และสังเกตคำว่า Boot  Device และก็กดเข้าไป  ให้เปลียนคำตรง First Boot ให้เปลียนคำตรงนั้นให้เป็น CD-ROM และเปลี่ยนคำตรงที่มีชื่อว่า Second Boot Device ให้เปลี่ยนเป็น Hard Disk จากนั้นก็กด F 10 แล้วมันจะขึ้นว่าคุณต้องการ Save มันไว้หรือไม่ ให้คุณกด OK 

-ขั้นตอนที่3 จากนั้นคอมจะ ติดตั้ง windows ตัวเองให้เรารอจนหน้าจอเราขึ้นจอมาว่า windows xp profersional setup ให้ เรากด Ese 1 ครั้ง แล้วจอคอมเราจะขึ้นให้เราเลือกว่าจะ ลบ หรือสร้าง หรือ ติดตั้ง
ถ้าคอมเรามีไวรัสอยู่ แนะนำให้กด D หริอ ลบ Drive ส่วนมากเราจะเก็บงานไว้ที่ Drive d เพราะฉะนั้นเราจึงควรลบDrive c พอเราลบ Drive c แล้วให้กดสร้างโดยกด ตัว c จากนั้นกด Enter เลยนะครับ แล้วจอเราจะขึ้นให้เราเลือกว่า จะติดตั้งแบบ เร็วหรือไม่เร็ว ให้เราสังเกตตรงคำที่ว่า ซึ่งหมายความว่าติดตั้งแบบเร็วนะคราบ

-ขั้นตอนที่4 ให้เรารอจนหน้าจอเราขึ้นมาว่าให้กรอกพาสเวิล อันนี้แล้วแต่คุณว่าต้องการพาสเวิลหรือไม่นะครับ แล้วพอหลังจากนั้นกด Next พอหลังจากนั้นจะขึ้นรูป โล่ สีเขียว สีแดงขึ้นมาซึ่งหมายความตามสีว่า สีเขียวหมายถึงคุณต้องการอัพเดฟ Windows ตัวนี้หรือไม่ ส่วนสีแดงคือ ไม่ต้องการให้ทำการอัพเดฟ ซึ่งผมแนะนำว่าควรเลือกสีแดงนะครับ และกด Next

-ขั้นตอนที่5 ให้เรารอจน จอขึ้นมาให้เรากรอกชื่อของคอมพิวเตอร์ อันนี้ให้กรอกตามความต้องการของท่านนะครับ จากนั้นให้เรารอจนหน้าจอเราเส็จ จากนั้นคุณจะเห็นว่าจอของคุณนั้นมีแต่ Recycle Bin ให้คุณคลิกเมาส์ properties ให้คุณเลือกหัวข้อไปที่ Desktop แล้วเลื่อนมาข้างล่างจะเจอคำว่า
Customize Desktop แล้วคุณเลือกเอาว่าจะเอามาหมดหรือไม่หมดก็ได้ ครับ

-และนี้คือการลง windowsครับ ขอบคุณทุกท่านที่มารับชม blogของกระผมนะครับขอบคุณครับ*-*

วันจันทร์ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2553

การทำภาพ LoMo จาก Cs5


1.เลือกภาพวิวที่ต้องการมาทน LoMo


2.สร้าง Background ขึ้นมาอีกหนึ่ง โดยคลิกขวาที่ Background คลิกที่ Dvplicate Layer

3.จะได้ Background copy จากนั้นไปที่เครื่องมือ Rectargvlar Marquee Tool  ปรับขอบเป็น 35 px

4..ลากใส่รูปให้เป็นคล้ายกรอบรูป แล้วกด Ctrl-Shift-I  จากนั้นก็กด Deselect

5.ใช้เครื่องมือ Paint Bucket Tool เพื่อเติมสี  ทำสีให้เป็น ขาว-ดำ และตกแต่งตามความชอบ

6.คุณก็จะได้ภาพ LoMo ดั้งภาพที่เห็นครับ















ทำให้background ให้เป็นภาพเบลอ 




1.เลือกรูปของเราที่ต้องการจะทำการเบลอรูป


2.กด Ctrl + J เพื่อเพิ่ม Layer และจากนั้นไปที่ Fiter-Blur-Gaussian Blur

3.ปรับระดับความเบลอของรูปตามที่เราต้องการ

5.จากนั้นคลิกตรง  Layer ที่ copy มา แล้วไปที่เครื่องมือ  History Brush Tool

6.จากนั้นปรับทำสีให้เป็น ขาว ดำ  จากนั้นก็คริกใส่ตรงรูปที่เราไม่ต้องการเบลอให้ชัด

9.ก็จะได้ภาพเบลอด้านหลังภาพดังรูป ครับ












ภาพจิกซอจาก cs5


1.ไปที่ File>Open แล้วเลือกรูปที่ตนเองต้องการ
2.กด Ctrl+J เพื่อเพิ่ม Layer
3.กดที่คำว่า Styles ที่อยู่หัวมุมขวาและเลือกรูปที่มีชื่อว่า Puzzle(image)
4.จากนั้นปรับขนาดรูปให้ไปที่ opacity ให้เป็นขนาด 50%
5. แล้วไปดับเบิ้ลคลิกที่ Back ground ที่เราแต่งมันจะขึ้นเป็น Layer Style
6.ให้ไปคลิกที่ Texture ไปปรับที่ Scale และ Depth ตามความเหมาะสมของรูป
7.ก็จะได้ภาพเป็นจิ๊กซอ คราบ

วันศุกร์ที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2553






ทำภาพฉีกจาก  PhotoShop  CS5






ขั้นตอนที่ 1. เปิดภาพที่เราต้องการแต่งออกมาใน photoshop




ขั้นตอนที่ 2. ใช้เครื่องมือที่มีชื่อว่า Lasso Tool  แล้วเริ่มการตัดเลย
โดยเลือกส่วนที่เราต้องการให้ภาพนั้นมีรอยฉีกนะ ครับ




ขั้นตอนที่ 3 . สร้างหน้ากระดาษขึ้นมานะคราบโดยเลือกขนาดของ Layer ตามขนาดที่ตัวเองชอบนะคับ







ขั้นตอนที่ 4. นำภาพที่ตัดแล้ว มาใส่ใน Layer ใหม่ที่เราสร้างนะคับ
จากนั้นจัดขนาดของภาพตามที่เราต้องการ ครับ





ขั้นตอนที่ 5. ลงสี Background โดย นำเมาส์ไปคลิกที่ Backgroud ที่อยู่ข้างล่างภาพ
จากนั้นไปที่เครื่องมือ Gradient Tool แล้วเลือกสีตามใจชอบ
แล้วคุณก็จะได้ภาพที่เหมือนภาพฉีกที่คุณนั้นนำมาซ่อมแซม

วันเสาร์ที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2553








Massimo Zucchi นักออกแบบอัญมณีชาวอิตาลีได้ดีไซน์ตู้เย็นไฮเทคฯ Zipel e-diary ให้กับซัมซุง โดยเพิ่มคุณสมบัติการทำงานต่างๆ ที่ตู้เย็นทั่วไปไม่มีเข้าไปมากมาย โดยเฉพาะหน้าจอสัมผัสขนาด 10 นิ้วที่มาพร้อมกับซอฟต์แวร์เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตไร้สาย Wi-fi ซึ่งทำให้เจ้าของตู้เย็นรุ่นนี้สามารถรับทราบข่าวสาร พยากรณ์อากาศประจำวัน และดาวน์โหลดอัลบั้มภาพที่ชื่นชอบ โดยอัพเดตผ่านทางอินเทอร์เน็ต
Zipel e-diary เป็นตู้เย็นขนาด 25 คิวบ์สามารถรองรับอาหารสดได้มากมาย ดีไซน์สองประตู ด้านหน้าประดับด้วยแสง LED และออกแบบให้ใช้พลังงานอย่างสมดุลย์ โดยมันสามารถลดระดับการใช้พลังงานไฟฟ้าลงเหลือแค่ 32 kwh ต่อเดือน จะว่าไปแล้วมันคล้ายๆ ของตู้เย็นเน็ตไร้สายของ Electrolux ที่เคยเผยโฉมออกมาก่อนหน้านี้เหมือนกัน สนนราคาของ Zipel e-diary อยู่ที่ 25 ล้านวอน หรือประมาณ70,000 บาท










ที่เห็นอยู่นี้เป็นตู้เย็นที่ออกแบบมาเป็นพิเศษสำหรับผู้บริโภคในเกาหลี ชื่อว่า Zipel e-diary จากบริษัท Samsung โดยนอกจากมันจะมีดีไซน์ที่เรียบหรูแล้ว ยังมาพร้อมกับจอสัมผัสที่เชื่อมต่อเน็ตไร้สายได้ด้วย...Massimo Zucchi นักออกแบบอัญมณีชาวอิตาลีได้ดีไซน์ตู้เย็นไฮเทคฯ Zipel e-diary ให้กับซัมซุง โดยเพิ่มคุณสมบัติการทำงานต่างๆ ที่ตู้เย็นทั่วไปไม่มีเข้าไปมากมาย โดยเฉพาะหน้าจอสัมผัสขนาด 10 นิ้วที่มาพร้อมกับซอฟต์แวร์เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตไร้สาย Wi-fi ซึ่งทำให้เจ้าของตู้เย็นรุ่นนี้สามารถรับทราบข่าวสาร พยากรณ์อากาศประจำวัน และดาวน์โหลดอัลบั้มภาพที่ชื่นชอบ โดยอัพเดตผ่านทางอินเทอร์เน็ตZipel e-diary เป็นตู้เย็นขนาด 25 คิวบ์สามารถรองรับอาหารสดได้มากมาย ดีไซน์สองประตู ด้านหน้าประดับด้วยแสง LED และออกแบบให้ใช้พลังงานอย่างสมดุลย์ โดยมันสามารถลดระดับการใช้พลังงานไฟฟ้าลงเหลือแค่ 32 kwh ต่อเดือน จะว่าไปแล้วมันคล้ายๆ ของตู้เย็นเน็ตไร้สายของ Electrolux ที่เคยเผยโฉมออกมาก่อนหน้านี้เหมือนกัน



ความคิดสร้างสรรค์ (creative thinking)


ความคิดสร้างสรรค์ คือ กระบวนการคิดของสมองซึ่งมีความสามารถในการคิดได้หลากหลายและแปลกใหม่จากเดิม โดยสามารถนำไปประยุกต์ทฤษฎี หรือหลักการได้อย่างรอบคอบและมีความถูกต้อง จนนำไปสู่การคิดค้นและสร้างสิ่งประดิษฐ์ที่แปลกใหม่หรือรูปแบบความคิดใหม่ นอกจากลักษณะการคิดสร้างสรรค์ดังกล่าวนี้แล้ว ยังมีสามารถมองความคิดสร้างสรรค์ในหลาย ซึ่งอาจจะมองในแง่ที่เป็นกระบวนการคิดมากกว่าเนื้อหาการคิด โดยที่สามารถใช้ลักษณะการคิดสร้างสรรค์ในมิติที่กว้างขึ้น เช่นการมีความคิดสร้างสรรค์ในการทำงาน การเรียน หรือกิจกรรมที่ต้องอาศัยความคิดสร้างสรรค์ด้วย อย่างเช่น การทดลองทางวิทยาศาสตร์ หรือการเล่นกีฬาที่ต้องสร้างสรรค์รูปแบบเกมให้หลากหลายไม่ซ้ำแบบเดิม เพื่อไม่ให้คู่ต่อสู่รู้ทัน เป็นต้น ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าเป็นลักษณะการคิดสร้างสรรค์ในเชิงวิชาการ แต่อย่างไรก็ตาม ลักษณะการคิดสร้างสรรค์ต่างๆ ที่กล่าวนั้นต่างก็อยู่บนพื้นฐานของความคิดสร้างสรรค์ โดยที่บุคคลสามารถเชื่อมโยงนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ดี



ในการสอนของอาจารย์เพื่อพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ ควรจัดการเรียนการสอนที่ใช้วิธีการที่เหมาะสม ดังนี้



1. การสอน (Paradox) หมายถึง การสอนเกี่ยวกับการคิดเห็นในลักษณะความคิดเห็นที่ขัดแย้งในตัวมันเอง ความคิดเห็นซึ่งค้านกับสามัญสำนึก ความจริงที่สามารถเชื่อถือหรืออธิบายได้ ความเห็นหรือความเชื่อที่ฝังใจมานาน ซึ่งการคิดในลักษณะดังกล่าว นอกจากจะเป็นวิธีการฝึกประเมินค่าระหว่างข้อมูลที่แท้จริงแล้ว ยังช่วยให้คิดในสิ่งที่แตกต่างไปจากรูปแบบเดิมที่เคยมี เป็นการฝึกมองในรูปแบบเดิมให้แตกต่างออกไป และเป็นส่งเสริมความคิดเห็นไม่ให้คล้อยตามกัน (Non – Conformity) โดยปราศจากเหตุผล ดังนั้นในการสอนอาจารย์จึงควรกำหนดให้นักศึกษารวบรวมข้อคิดเห็นหรือคำถาม แล้วให้นักศึกษาแสดงทักษะด้วยการอภิปรายโต้วาที หรือแสดงความคิดเห็นในกลุ่มย่อยก็ได้



2. การพิจารณาลักษณะ (Attribute) หมายถึง การสอนให้นักศึกษา คิดพิจารณาลักษณะต่าง ๆ ที่ปรากฏอยู่ ทั้งของมนุษย์ สัตว์ สิ่งของ ในลักษณะที่แปลกแตกต่างไปกว่าที่เคยคิด รวมทั้งในลักษณะที่คาดไม่ถึง



3. การเปรียบเทียบอุปมาอุปมัย (Analogies) หมายถึง การเปรียบเทียบสิ่งของหรือสถานการณ์การณ์ที่คล้ายคลึงกัน แตกต่างกันหรือตรงกันข้ามกัน อาจเป็นคำเปรียบเทียบ คำพังเพย สุภาษิต



4. การบอกสิ่งที่คลาดเคลื่อนไปจากความเป็นจริง (Discrepancies) หมายถึง การแสดงความคิดเห็น บ่งชี้ถึงสิ่งที่คลาดเคลื่อนจากความจริง ผิดปกติไปจากธรรมดาทั่วไป หรือสิ่งที่ยังไม่สมบูรณ์



5. การใช้คำถามยั่วยุและกระตุ้นให้ตอบ (Provocative Question) หมายถึงการตั้งคำถามแบบปลายเปิดและใช้คำถามที่ยั่วยุ เร้าความรู้สึกให้ชวนคิดค้นคว้า เพื่อความหมายที่ลึกซึ้งสมบูรณ์ที่สุดเท่าที่จะเป็นได้



6. การเปลี่ยนแปลง (Example of change) หมายถึง การฝึกให้คิดถึงการเปลี่ยนแปลง



ดัดแปลงการปรับปรุงสิ่งต่าง ๆ ที่คงสภาพมาเป็นเวลานานให้เป็นไปในรูปอื่น และเปิดโอกาสให้เปลี่ยนแปลงด้วยวิธีการต่าง ๆ อย่างอิสระ



7. การเปลี่ยนแปลงความเชื่อ (Exchange of habit) หมายถึง การฝึกให้นักศึกษาเป็นคนมีความยืดหยุ่น ยอมรับความเปลี่ยนแปลง คลายความยึดมั่นต่าง ๆ เพื่อปรับตนเข้ากับสภาพแวดล้อมใหม่ ๆ ได้ดี



8. การสร้างสิ่งใหม่จากโครงสร้างเดิม (An organized random search) หมายถึง การฝึกให้นักศึกษารู้จักสร้างสิ่งใหม่ กฎเกณฑ์ใหม่ ความคิดใหม่ โดยอาศัยโครงสร้างเดิมหรือกฎเกณฑ์เดิมที่เคยมี แต่พยายามคิดพลิกแพลงให้ต่างไปจากเดิม



9. ทักษะการค้นคว้าหาข้อมูล (The skill of search) หมายถึง การฝึกเพื่อให้นักศึกษารู้จักหาข้อมูล



10. การค้นหาคำตอบคำถามที่กำกวมไม่ชัดเจน (Tolerance for ambiguity) เป็นการฝึกให้นักศึกษามีความอดทนและพยายามที่จะค้นคว้าหาคำตอบต่อปัญหาที่กำกวม สามารถตีความได้เป็นสองนัย ลึกลับ รวมทั้งท้าทายความคิด



11. การแสดงออกจากการหยั่งรู้ (invite expression) เป็นการฝึกให้รู้จักการแสดงความรู้สึก และความคิด ที่เกิดจากสิ่งที่เร้าอวัยวะรับสัมผัสทั้งห้า



12. การพัฒนาตน (adjustment for development) หมายถึง การฝึกให้รู้จักพิจารณาศึกษาดูความ ล้มเหลว ซึ่งอาจเกิดขึ้นโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ แล้วหาประโยชน์จากความผิดพลาดนั้นหรือข้อบกพร่องของตนเองและผู้อื่น ทั้งนี้ใช้ความผิดพลาดเป็นบทเรียนนำไปสู่ความ-สำเร็จ



13. ลักษณะบุคคลและกระบวนการคิดสร้างสรรค์ (creative person and creative) หมายถึง การศึกษาประวัติบุคคลสำคัญทั้งในแง่ลักษณะพฤติกรรมและกระบวนการคิดตลอดจนวิธีการ และประสบการณ์ของบุคคลนั้น



14. การประเมินสถานการณ์ (a creative reading skill) หมายถึง การฝึกให้หาคำตอบโดยคำนึงถึงผลที่เกิดขึ้นและความหมายเกี่ยวเนื่องกัน ด้วยการตั้งคำถามว่าถ้าสิ่งเกิดขึ้นแล้วจะเกิดผลอย่างไร



15. พัฒนาทักษะการอ่านอย่างสร้างสรรค์ (a creative reading skill) หมายถึง การฝึกให้รู้จักคิดแสดงความคิดเห็น ควรส่งเสริมและให้โอกาสเด็กได้แสดงความคิดเห็นและความรู้สึกต่อเรื่องที่อ่านมากกว่าจะมุ่งทบทวนข้อต่างๆ ที่จำได้หรือเข้าใจ



16. การพัฒนาการฟังอย่างสร้างสรรค์ (a creative listening skill ) หมายถึง การฝึกให้เกิดความรู้สึกนึกคิดในขณะที่ฟัง อาจเป็นการฟังบทความ เรื่องราวหรือดนตรี เพื่อเป็นการศึกษาข้อมูล ความรู้ ซึ่งโยงไปหาสิ่งอื่น ๆ ต่อไป



17. พัฒนาการเขียนอย่างสร้างสรรค์ ( a creative writing skill ) หมายถึง การฝึกให้แสดงความคิด ความรู้สึก การจินตนาการผ่านการเขียนบรรยายหรือพรรณนาให้เห็นภาพชัดเจน



18. ทักษะการมองภาพในมิติต่างๆ (Visualization skill) หมายถึง การฝึกให้แสดงความรู้สึกนึกคิดจากภาพในแง่มุม แปลกใหม่ ไม่ซ้ำเดิม




สรุป    ความคิดสร้างสรรค์

คือ ความคิดที่ดัดแปลงจากของเดิมหรือดัดแปลงจาก สิ่งที่มี อยู่แล้ว แล้วนำมา สร้างสรรค์ปฏิบัติแสดงออกมาให้เป็นผลงานที่ดี บรรจุความคิดใหม่ เป็นรูปทรงใหม่หรือมีหน้าที่ใหม่ หรือนำไปใช้ในแง่ใหม่ให้มีประสิทธิภาพสูงกว่าเดิมได้ หรือเป็นการสร้างชิ้นงานขึ้นใหม่ให้ดีกว่าที่มีอยู่เดิม


ความคิดสร้างสรรค์เป็นบุคลิกนิสัยอย่างหนึ่ง ซึ่งอาจเกิดจากวิธีการเลี้ยงดูในบ้านกระบวนการเรียนรู้ในโรงเรียน การ ใช้ชีวิตในสังคม มีความสำคัญและมีประโยชน์กับคนทุกคน ถ้าพิจารณาในแง่นามธรรม คือ การสร้างสรรค์ทางความคิด ในตัวของมันเอง ก็จะพบว่าคนที่มีความคิดสร้างสรรค์นั้น จะเป็นผู้มีคุณสมบัติที่ดี มีพฤติกรรมที่เป็นไปในทางที่ดี เช่น เป็นผู้ที่เปิดใจกว้างขวางยอมรับฟังความคิดเห็นใหม่ ๆ ไม่ได้นึกว่าตัวเองเป็นฝ่ายถูกเสมอ ไม่เอาตัวเองเป็นจุดศูนย์กลางใน การพิจารณาคนอื่น ชอบเก็บสะสมความรู้ หมั่นค้นคว้าวิจัยสืบสวนหาความจริงในสิ่งต่าง ๆ เป็นคนที่มีเหตุผลและคุณสมบัต ิเหล่านี้ก็จะส่งผลและคุณสมบัต ิเหล่านี้ก็จะส่งผลให้เจ้าของประสบผลสำเร็จในชีวิต

วันเสาร์ที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

Web Service คืออะไร




บทนำ



หากเรามองย้อนกลับไปซักไม่กี่ปีที่ผ่านมาใครจะไปคาดคิดว่าเว็บมันจะเติบโตและได้รับความนิยม สูงมากขนาดนี้ ทุกวันนี้หลายๆ คนคงขาดเว็บไม่ได้ เหตุผลที่เว็บประสบผลสำเหร็จก็คงเป็นเพราะเหตุผลเพียงไม่กี่อย่างคือ ความสะดวก และใช้งานง่าย ในฝั่งผู้ให้บริการ (ผ่านเว็บ) ก็จะมองว่าถ้ามีเว็บเซอร์เวอร์ ก็ขายสินค้าได้ทั่วโลก ในฝั่งผู้ใช้งาน ขอให้คุณเลื่อนเมาส์กับใช้ keyboard เป็น คุณก็ติดต่อ ค้นหา ซื้อของ ได้ทั่วโลก ในมุมมองของ Software เว็บก็ทำหน้าที่อยู่ 3 อย่างคือ GET POST และ ก็ PUT ในเรื่องของ Web Service ก็คือการใช้ Web ที่ไม่เพียงแค่เกี่ยวกับข้อมูลอย่างเดียว แต่หมายถึงการบริการด้วย



คำว่า Service ไม่ได้หมายถึงอะไรที่เด่นชัดอย่าง Promool.com Pantip.com แต่หมายถึงส่วนประกอบที่คนอื่นๆนำไปใช้ในการทำบริการที่กว้างกว่านี้ด้วย ตัวอย่างเช่น Microsoft Passport ที่ให้บริการตรวจสอบความเป็นตัวตนจริง (Authentication) ผ่านเว็บ ทำให้การบริการข่าวของ Bangkok Post ไม่ต้องตรวจสอบการเข้าสู่ระบบเอง แต่ยกให้ Passport เป็นตัวจัดการแทน หรืออย่าง Dynamic services whitepaper ของ Oracle ก็มีส่วนที่ให้บริการ แปลงค่าเงิน แปลภาษา การส่งของ กระบวนการเคลมสินค้า เป็นต้น ส่วนความหมายอย่างเป็นทางการของ Web Service ก็คงเป็นของ IBM ที่กล่าวว่า



เว็บเซอวิส คือ Web Application ยุคใหม่ ที่ประกอบด้วยส่วนย่อยๆมีความสมบูรณ์ในตัวเอง สามารถติดตั้ง ค้นหา เริ่มทำงานได้ผ่านเว็บ Web Service สามารถทำอะไรก็ได้ตั้งแต่งานง่ายๆ เช่นดึงข้อมูล จนถึงกระบวนการทางธุรกิจที่ซับซ้อน เมื่อ Web Service ตัวใดตัวหนึ่งเริ่มทำงาน Web Service ตัวอื่นก็สามารถรับรู้และเริ่มทำงานได้อีกด้วย



หลายคนอาจจะถามว่าทำไมต้องเป็น Web เพราะเรามี Middle Ware อื่นๆมากมายเช่น RMI Jini CORBA DCOM ฯลฯ แม้ Middle Ware เหล่านี้จะสามารถรองรับได้ แต่ไม่มีตัวใดตัวหนึ่งที่เด่นจริง แต่ในเมื่อ Web มีจุดเด่นในเรื่องของการให้บริการข้อมูลที่สะดวก ใช้งานง่าย จึงกลายเป็นตัวประสาน Middle Ware ต่างๆ เข้าด้วยกันซึ่งจะให้คุยกันเองคงยากยิ่ง Web ทำหน้าที่เป็นตัวกลางให้ Middle Ware เหล่านี้สามารถคุยกันได้ และมีประสิทธิภาพกว่าวิธีการเดิมๆ มาก



หากเรามองจากกรณีของ n-tier application จะพบว่า web service คือกลไกในการเข้าถึงบริการที่แต่ละ Middle Ware ให้บริการ การเข้าถึงจะอาศัย Listener และส่วนประกอบที่ระบุถึงบริการต่างๆ ที่รองรับการทำงาน โดยการทำงานจริงๆ นั้นก็ใช้วิธีการปกติของ Middle Ware นั้นๆ



พื้นฐานของ Web Service



พื้นฐานของ Web Service ก็คือ XML กับ HTTP ซึ่งจะพบว่า HTTP ก็เป็นที่รู้จักกันดี และไปได้ทั่วทุกแห่งที่มี interner ส่วน XML คือภาษาสากลที่คุณสามารถปรับแต่งได้ตามใจชอบ เพื่อให้เกิดกิจกรรมระว่าง client และบริการ หรือระหว่างส่วนประกอบต่างๆ เบื้องหลัง Web server ก็คือ ข้อความ XML จะถูกแปลงให้การขอบริการจาก Middle ware และผลที่ได้ก็จะแปลงกลับมาในรูป XML



ยกตัวอย่างให้เห็นง่ายๆ คุณต้องการให้เครื่อง PC อ่านค่าจาก serial port แล้วส่งไปประมวลผลบนเครื่อง UNIX แล้วส่งผลกลับมาแสดงบนจอ PC ถ้าเป็นเมื่อก่อน คุณก็คงต้องแปลงข้อมูลที่ได้ให้อยู่ในรูปของ ASCII แล้วส่งไปยัง UNIX พร้อมคำสั่งว่าให้ทำอะไร ในฝั่ง UNIX คุณก็ต้องมาแยกว่าอันไหนคือคำสั่ง อันไหนคือข้อมูล เมื่อประมวลผลแล้ว จะส่งกลับมาในรูปแบบไหน แล้วถ้าหากจะส่งไปหาเครื่องที่เป็น MAC ท่านจะต้องเขียนโปรแกรมเพิ่มในส่วนไหนบ้าง จะพบว่าเราต้องพัฒนากันเป็นคู่ๆ ไป และต้องนิยามในแต่ละฝั่งให้ชัดเจน แต่หากเป็น Web Service คุณจะพบว่า เราแปลงข้อมูลให้อยู่ในรูป XML แต่ละคุณก็ต้องการรู้แค่ มาตรฐาน XML ก็พอ แล้วต่างคนต่างก็เขียน Service ของตัวเอง ไม่ต้องกังวลเรื่องของการเชื่อมโยงอีกต่อไป และ Protocol ที่ส่งก็คือ HTTP นั่นเอง ถ้าท่านเชื่อมโยงกับ HTTP (หรือเว็บ) ได้ ท่านก็ใช้บริการทุกอย่างได



แต่เดี๋ยวก่อนการเข้าถึงและการสั่งงานนั้นยังเป็นเพียงโครงสร้างพื้นฐาน แต่ในความเป็นจริงยังมีอะไรมากกว่านั้น เช่น การค้นหา การทำธุรกรรม ความปลอดภัย การพิสูจน์ตัวตน และอื่นๆ อันเป็นบริการที่ทำให้เป็นบริการพื้นฐานจริงๆ



ระบบเพิ่มเติมที่ต้องมีและต้องรักษาความสะดวกและใช้งานง่ายไว้ด้วย พื้นฐานของ Web Service เต็มรูปแบบคือ XML + HTTP + SOAP + WSDL + UDDI หรือในระดับสูงกว่านั้น แต่ไม่ได้ถือเป็นสิ่งจำเป็นเสมอไปคือต้องเพิ่มเทคโนโลยี XAML, XLANG, XKMS, XFS เป็นต้น



ต่อไปนี้คือรายละเอียดคร่าวๆ ของแต่ละส่วน แต่ควรตระหนักว่าแต่ละส่วนอาจจะยังเป็นเทคโนโลยี ที่กำลังอยู่ระหว่างพัฒนา ดังนั้นในแต่ละปัญหาอาจจะแก้ได้หลายวิธีด้วยกัน



SOAP (Remote Invocation) สั่งงานจากระยะไกล



UDDI บริการ Directory



WSDL ระบุคุณสมบัติของแต่ละบริการ



XLANG/XAML กรณีของการเชื่อมโยงที่ซับซ้อน หลายๆ เว็บ



XKMS (XML Key Management Specification) ระหว่างการพัฒนา (Microsoft + Verisign)








ความหมายของเว็บไซต์




--------------------------------------------------------------------------------



ความหมายของเว็บไซต์

เว็บไซต์ (website, web site, Web site) หมายถึงหน้าเว็บเพจหลายหน้า ซึ่งเชื่อมโยงกันผ่านทางไฮเปอร์ลิงก์ ส่วนใหญ่จัดทำขึ้นเพื่อนำเสนอข้อมูลผ่านคอมพิวเตอร์ โดยถูกจัดเก็บไว้ในเวิลด์ไวด์เว็บ





หน้าแรกของเว็บไซต์ที่เก็บไว้ที่ชื่อหลักจะเรียกว่า โฮมเพจ เว็บไซต์ โดยทั่วไป จะให้บริการต่อผู้ใช้ฟรี แต่ในขณะเดียวกันบางเว็บไซต์จำเป็นต้องมีการสมัครสมาชิกและเสียค่าบริการเพื่อที่จะดูข้อมูลในเว็บไซต์นั้น ซึ่งได้แก่ข้อมูลทางวิชาการ ข้อมูลตลาดหลักทรัพย์หรือข้อมูลสื่อต่างๆ ผู้ทำเว็บไซต์มีหลากหลายระดับ ตั้งแต่สร้างเว็บไซต์ส่วนตัว จนถึงระดับเว็บไซต์สำหรับธุรกิจหรือองค์กรต่างๆ การเรียกดูเว็บไซต์โดยทั่วไปนิยมเรียกดูผ่านซอฟต์แวร์ในลักษณะของเว็บเบราว์เซอร์



เว็บไซต์แห่งแรกของโลก สร้างขึ้นเมื่อ 30 เมษายน พ.ศ.2536 โดยวิศวกรของเซิร์น



: http://th.wikipedia.org/



เว็บไซต์ คืออะไร


เว็บไซต์

เว็บไซต์ (Web Site) คือ แหล่งที่เก็บรวบรวมข้อมูลเอกสารและสื่อประสมต่าง ๆ เช่น ภาพ เสียง ข้อความ ของแต่ละบริษัทหรือหน่วยงานโดยเรียกเอกสารต่าง ๆ เหล่านี้ว่า เว็บเพจ (Web Page) และเรียกเว็บหน้าแรกของแต่ละเว็บไซต์ว่า โฮมเพจ (Home Page) หรืออาจกล่าวได้ว่า เว็บไซต์ก็คือเว็บเพจอย่างน้อยสองหน้าที่มีลิงก์ (Links) ถึงกัน ตามหลักคำว่า เว็บไซต์จะใช้สำหรับผู้ที่มีคอมพิวเตอร์แบบเซิร์ฟเวอร์หรือจดทะเบียนเป็นของตนเองเรียบร้อยแล้วเช่น www.google.co.th ซึ่งเป็นเว็บไซต์ที่ให้บริการสืบค้นข้อมูลเป็นต้น





สรุป เว็บไซต์ คือ ชื่อเรียกหรือที่อยู่ของเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ให้บริการ

เว็บเพจ คือ หน้าแต่ละหน้าที่มีการเชื่อมโยงถึงกัน

โฮมเพจ คือ หน้าแรกที่เข้าสู่เว็บไซต์นั้น ๆ





ส่วนประกอบของเว็บเพจที่สำคัญ มีดังนี้

1. ข้อความ (Text) ได้แก่ ตัวอักษร ตัวเลข ซึ่งอาจเป็นภาษาอังกฤษ ไทย หรือภาษา อื่น ๆ ก็ได้

2. กราฟิก (Graphics) ได้แก่ ภาพวาดและรูปภาพต่าง ๆ

3. มัลติมีเดีย (Multimedia) ได้แก่ ภาพเคลื่อนไหว ภาพวีดิทัศน์ เสียง

4. ลิงก์ (Link) ข้อความหรือรูปภาพที่มีลักษณะพิเศษ ซึ่งสามารถเชื่อมโยงไปยัง เว็บเพจอื่น ๆ ได้ เราสามารถตรวจสอบได้ว่าส่วนใดเป็นลิงก์โดยนำเมาส์ไปนี้สัญลักษณ์เมาส์จะเปลี่ยนเป็นมือ ? แสดงว่าส่วนนั้นเป็นลิงก์

วันจันทร์ที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

Top 10 Sources For Massive Web Site Traffic




By Titus Hoskins Copyright © 2007-2010



Experienced webmasters know there are special sources or places on the web which will send massive amounts of traffic to your site. They also know, if harnessed properly, these mega traffic sites will supply any web site with a steady stream of visitors.



Perhaps the best source of web site traffic is Google. That's not exactly a Newsflash, but the key to getting massive amounts of traffic from Google is to go wide and long. With this strategy, instead of targeting highly popular keywords which may be too competitive for your site to win, you create a whole multitude of lesser known long tail keyword phrases to bring in the traffic.



This traffic takes longer to build but because very few webmasters bother with these longer phrases, your keywords will be more stable and secure. Develop a whole list of these traffic generating keyword phrases and Google will reward you with a whole flood of targeted visitors stemming from these thousands of small dribbles of long tail keyword traffic.



Turning these dribbles of traffic into massive amounts is not a difficult task. One very effective way to tap into the entire search engine source of traffic is to tag everything. Tags are just another name for keywords. As Web 2.0 or Social Bookmarking sites become more and more popular, tagging will become extremely important.



You must be especially careful of how you tag the content on your site or sites. If you're using a blogging system like WordPress, all your categories will be considered tags automatically. If you're creating URLs, be careful to place your keyword phrase in your links.



Another effective way to tap into the whole keyword traffic system is to include your keyword phrase or variations of it in your articles while promoting your site. Place your anchor text in your links in the resource box at the end of each article.



Over time, as these articles become distributed all over the web, they will create a steady stream of targeted visitors to your site. Simple, effective and very powerful.



You are probably tired of hearing about Web 2.0 and the new Social Bookmarking sites but they are some of the best places for massive traffic on the web. Any webmaster who has been Slashdotted already knows this fact all too well; if you get a listing on the homepage of Slashdot.com you will immediately start receiving thousands of visitors to your site. It can be somewhat scary.



A similar experience is getting one of your articles published in ezines run by Addme.com, SiteProNews.com, WebProNews.com, as well as others. These ezines go out to hundreds of thousands of readers and can produce massive traffic back to your site.



However, much of this sudden traffic is only temporary and most savvy webmasters know it would be wise to try and capture the contact information of these temporary visitors for follow-up targeting. Turn that temporary visitor into a patron of your site by offering a free ecourse or an email newsletter.



The same marketing technique should be applied to traffic coming from all these social media sites. Don't think of your traffic as just numbers in your website's stats, but rather as potential customers who will return to your site again and again.



Keep this strategy in mind as you target some of these Top Sources of massive traffic on the web:



1. Digg.com

2. Netscape.com

3. Ezinearticles.com

4. Del.icio.us

5. StumbleUpon.com

6. Reddit.com

7. Slashdot.org

8. BlinkList.com

9. Furl.net

10. Squidoo.com



You should be actively promoting these social bookmarking sites by allowing your visitors to easily bookmark your content. You should be creating your own content on sites like Squidoo and placing links back to your site.



Of course, there are countless other sources of massive traffic on the web. Press releases is another effective way of quickly drawing in massive traffic to your site. Sites like PRWeb.com can deliver targeted traffic very quickly and efficiently.



Another very effective and high converting venue you should try is Yahoo! Answers http://answers.yahoo.com, a simple process where users post a question and other members/experts offer answers. Used correctly this can be a good source of targeted traffic.



Don't forget other important search engines such as MSN Live, traffic from MSN has earned a solid reputation for converting very well. So optimize your web pages for MSN Live Search and you will probably see an increase in your sales as well as your traffic.



Always keep in mind, the underlying key factor running through all these sources of massive traffic is unique quality content. You must create good original content on your sites as well as in your articles and posts. Your content must be informative, useful or entertaining. For in the end, it is this quality content that will create the interest, the links and the massive traffic to your site.



Don't ignore this factor or your quest for massive web site traffic will be extremely difficult, if not impossible to achieve.



crdeit : http://www.web-source.net/feature1000.htm

ประวัติประจำตัว

หวาดดี คราฟ
ผมชื่อ นาย รัฐพงศ์ แก้วเตือนจิตร
เรียกอีกชื่อว่า เต้ นะ คราฟ
สถานะ -โสด-
บ้านอยุ่แถว กังสดาล ขอรับ